อารียา พรอพเพอร์ตี้ คว้ารางวัลบนเวที “The People Awards 2024”ชูจุดยืนสร้างสรรค์งานดีไซน์บ้าน เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตผู้อยู่อาศัยได้ทุกเจเนอเรชั่น

บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้คน หรือ “Lifestyle Property Developer” นำโดย นางสาวพัทธมล เลาหพูนรังษี  ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้ง คว้ารางวัลบนเวที “The People Awards 2024” ในสาขา Corporate of The Year สุดยอดองค์กรสร้างการเปลี่ยนแปลง ส่งต่อแรงบันดาลใจ ร่วมสร้างสังคมให้ดีขึ้น โดยได้รับรางวัล Creative Thinking Design for Living Award ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กร ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์งานดีไซน์บ้าน สามารถเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตผู้อยู่อาศัยได้ทุกเจเนอเรชั่น 

นางสาวพัทธมล เลาหพูนรังษี  ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราตั้งใจเป็นมากกว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อารียาฯ มุ่งสร้างสรรค์สังคม และความเป็นอยู่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์โปรดักต์ และการสร้าง Brand Experience เพื่อเปิดประสบการณ์ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม และเข้าถึงตัวตนของแบรนด์ผ่าน Touchpoints ต่างๆ โดยรางวัล Creative Thinking Design for Living Award เป็นอีกรางวัลที่สะท้อนความสำเร็จในสิ่งที่ทีมงานอารียาฯ ตั้งใจทำมาตลอด 
สำหรับงานประกาศรางวัล  “The People Awards 2024” จัดขึ้นโดย The People ภายใต้แนวคิด “People Go Beyond” สะท้อนพลังของบุคคลที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมประกาศ รางวัล Popular of The Year ที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปร่วมโหวต และรางวัล Corporate of The Year สุดยอดองค์กรสร้างการเปลี่ยนแปลง สะท้อนพลังของบุคคลที่สร้างผลกระทบเชิงบวกและสิ่งแวดล้อม สร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง กระตุ้นให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ ร่วมสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้นต่อผู้คนและสังคม ซึ่งจัดขึ้น ณ คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ชั้น 19 เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท.

ธอส. ขยายเวลาอีก 3 เดือน มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ปี 67 ลูกค้ากลุ่ม SM และ ลูกค้าสถานะ NPL ลงทะเบียนรับความช่วยเหลือได้ถึง 30 มิ.ย.67

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจาก ธอส.
เปิดให้ลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) และลูกค้าสถานะ NPL ที่ยังได้รับผลกระทบด้านรายได้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการเป็นระยะเวลา 3 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2567 ให้ได้รับความช่วยเหลือเป็นระยะเวลานานสูงสุด 1 ปี ใน “มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ปี 2567”

ล่าสุด ณ วันที่ 25 มีนาคม 2567 ได้มีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการทั้งสิ้น 18,265 บัญชี คิดเป็นวงเงินต้นคงเหลือ 21,403 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสานต่อนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง และให้การช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มดังกล่าวครอบคลุมและทั่วถึงมากขึ้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงพร้อมขยายระยะเวลาการลงทะเบียนในการให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่ม SM และลูกค้าสถานะ NPL ผ่าน มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ปี 2567 ต่ออีก 3 เดือน หรือ ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน –30 มิถุนายน 2567 เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือนาน 1 ปี โดย 3 มาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย

1.มาตรการภาคครัวเรือน “HD1” สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ SM ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ผ่อนชำระเงินงวดเดือนที่ 1-3 จำนวน 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี, เดือนที่4-6 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท และเดือนที่ 7-12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ(หากมี)

2.มาตรการภาคครัวเรือน “HD2” สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ SM ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า
1 ปี ผ่อนชำระเงินงวดเดือนที่ 1 – 3 คำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90% +100 บาท, เดือนที่ 4 – 6 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท และเดือนที่ 7 – 12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย MRR-2% +100 บาท (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.90% ต่อปี) กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี)

3.มาตรการภาคครัวเรือน “HD3” สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ NPL ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี ผ่อนชำระเงินงวดเดือนที่ 1 – 4 จำนวน 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี, เดือนที่ 5-8 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท และเดือนที่ 9 – 12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% +100 บาท กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี)

    สำหรับลูกค้าที่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการข้างต้น สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ผ่านทาง Application : GHB ALL BFRIEND โดยลูกค้าจะต้อง Upload หลักฐานยืนยันการได้รับผลกระทบทางรายได้เพื่อให้ธนาคารพิจารณาด้วย ส่วนกรณีที่ลูกค้าไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ที่สาขาทั่วประเทศ.

    DAPPER ดึง AI ร่วมออกแบบรังสรรค์คอลเลกชันพิเศษ ‘Drafted by AI’ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและดีไซน์ด้วย Real-Time Data

    คุณศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้อำนวยการธุรกิจ DAPPER กล่าวว่า “เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีส่วนเปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน แดปเปอร์ในฐานะแบรนด์แฟชั่นชั้นนำของไทย จึงได้ริเริ่มนำเทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนของการออกแบบ ท้าทายกรอบความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของแบรนด์แดปเปอร์ ที่ให้ความสำคัญกับดีไซน์ที่ออกแบบมาให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทย ซึ่งไม่เพียงคำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิต แต่ยังใส่ใจในเรื่องคุณภาพเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ แพทเทิร์นการตัดเย็บคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ และสีสันที่ส่งเสริมบุคลิกภาพกลุ่มลูกค้าไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทุกเฉดสีผิว”

    สำหรับคอลเลกชันใหม่ล่าสุด ภายใต้คอนเซปต์ “Drafted by AI” ครั้งนี้ ทีมนักออกแบบมากประสบ
    การณ์ของ #DAPPER ได้เชิญชวนทุกคนสัมผัสประ
    สบการณ์ใหม่ของวงการแฟชั่น เพื่อร่วมค้นพบความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของลวดลายศิลปะที่ครีเอท
    ด้วย AI ผ่านแรงบันดาลใจที่ได้รับจากภาพภูมิทัศน์ธรรมชาติที่เหนือจริง (Surrealism) ผสานกับลวด
    ลาย “Graffiti” ที่วาดโดยนักออกแบบ เพื่อสร้างความสดใหม่ และความสนุก โดยคีย์แฟชั่นไอเทมในคอลเลกชันสะท้อนความล้ำสมัยอยู่เหนือกาลเวลา และบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้สวมใส่ เช่น เสื้อเชิ้ตพิมพ์ลาย เสื้อโปโลออริจินอลลาย Graffiti เสื้อเชิ้ต Jacquard ทอลาย คอมพลีตลุคด้วย Co-Ord เซต Denim และลาย Galaxy นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าหลากหลายดีไซน์ และพวงกุญแจโลหะลาย Graffiti ‘DAPPER’

    แดปเปอร์ยังมุ่งมั่นในการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง โดยได้มีการเก็บรวมรวมข้อมูลจากลูกค้าทั้งจากช่องทางร้านค้าที่มีมากกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจากกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน ดาต้าที่เก็บรวมรวมจากทุกช่องทางจะถูกนำมาวิเคราะห์และประมวลผลด้วย ระบบ Marketing Automation ที่มีความแม่นยำสูง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการได้อย่างมีนัยสำคัญ อาทิ การจัดกิจกรรมทางการตลาด และยกระดับการส่งมอบสินค้า และบริการให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

    นอกจากการนำ AI มาสร้างสรรค์งานศิลปะแล้ว DAPPER ก็ยังให้ความสำคัญกับ AI Marketing ที่จะช่วยให้ธุรกิจสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากวิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายองค์ประกอบ รู้จักลูกค้าผ่าน Customer Journey นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการใช้ AI เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดการสร้าง Content โดยสามารถส่งเนื้อหาที่เหมาะสมให้กับกลุ่มเป้าหมายในเวลาที่เหมาะสมกับความสนใจเฉพาะบุคคล (Personalized Recommendation) ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความสัมพันธ์ที่ดี และความเชื่อมั่นในแบรนด์ และล่าสุดได้นำ AI มาช่วยออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้มีความทันสมัย และใช้งานง่าย จัดกลุ่มความสนใจของลูกค้า และพัฒนาการทำ SEO ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งการนำ Chatbot ที่ AI มีบทบาทในการช่วยพัฒนาชุดคำตอบให้เสมือนมนุษย์ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน

    “ด้วยประสบการณ์ยาวนานของ แดปเปอร์ ในอุตสาหกรรมแฟชั่น เราได้เห็นวิวัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบแต่อย่างไรก็ตาม แดปเปอร์ ยังคงยึดมั่นในหลักการออกแบบและพัฒนาสินค้าที่มุ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทยเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับดีไซน์ที่คลาสสิค และคุณภาพสินค้าที่ดีเยี่ยม ทำให้สินค้ามีความทนทาน ใช้งานได้ระยะยาว ตอกย้ำจุดยืนของแดปเปอร์ ในฐานะผู้นำแบรนด์แฟชั่นยั่งยืน” ศิริทิพย์ กล่าว

    แดปเปอร์ มุ่งมั่นที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนไทย พร้อมสร้างสรรค์ ปรากฏการณ์ทางแฟชั่นอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยสามารถรับชมสินค้าคอลเลกชัน ‘Drafted by AI’ ได้ที่ แดปเปอร์ทุกสาขา และ dapper.com หรือ DAPPER Official Store บน Shopee, Lazada, และ Central Online.

    แบงก์เข้มบ้านแพงเกิน 10 ลบ. SCเห็นสัญญาณ รีเจกต์เรตเกิน10% เร่งปรับตัวรักษาตลาดผู้เล่นรายใหญ่

    นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง และมีนวัตกรรม ได้รีวิวภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกของปี 2567 ว่า ทุกๆคนประสบปัญหาเหมือนกัน ทุกคนอยู่ในโหมดของการระวังตัว และแม้ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อ แต่จะเน้นปล่อยสินเชื่อโครงการและสินเชื่อรายย่อยให้กับบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ อสังหาฯบางแห่งที่ออกตราสารหนี้ ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูง แต่กลับมียอดจองซื้อที่ไม่เต็มโควต้าที่ออกหุ้นกู้ แต่บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงดี แม้ให้อัตราดอกเบี้ย(ยิลด์)ที่ไม่สูง กลับได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ลงทุนรายย่อย สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงดี สามารถเข้าถึงทุนได้มากขึ้น รายกลางและรายเล็กจะลำบาก และยิ่งธุรกิจใหญ่ขึ้น ก็ต้องมีการปรับตัว อยู่ที่บริษัทไหนจะมีความแม่นยำ และมีวินัยมากกว่ากัน

    โดยสถานการณ์ที่เกี่ยวกับการปฎิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้น (รีเจกต์เรต) นั้น อย่างแรก โมเดลธุรกิจของเอสซี โครงการจะเป็นสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้ลดเวลาการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ แต่เรื่องรีเจกต์เรต ยอมรับ เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ช่วง 3 เดือนแรกของปี 67 ตัวเลขสูงกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งเดิมโครงการแนวราบ ก่อนเกิดโควิด-19 ตัวเลขรีเจกต์เรตจะต่ำกว่า 10% และเข้าสู่ช่วงโควิด ตัวเลขอยู่ประมาณ 10% นิดๆ แยกเป็นกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท การปฎิเสธสินเชื่อจะอยู่ต่ำกว่า 20% แต่ราคาที่เกินกว่านี้ ตัวเลขไม่ถึง 10% แต่เปิดมา 3 เดือน กลุ่มแนวราบราคาเกินกว่า 10 ล้านบาท รีเจกต์เรตกลับมาเกินกว่า 10%

    “ปัญหาเรื่องหนี้ ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจยังไม่สูงขึ้น ทำให้แบงก์ต้องระมัดระวัง ถามว่า ทุกๆดีเวลลอปเปอร์ตัวเลขขึ้นหรือไม่ มี อยู่ที่ว่าใครใช้ตัวเลขไหน แต่รีเจกต์เรตขึ้นหมด ซึ่งภาพรวมของ SC รีเจกต์เรตอาจจะต่ำกว่าตลาด แต่เราเห็นเทรนด์ที่เกิดขึ้น แต่ผมคุยกับหลายแบงก์ ปีนี้จะเร่งปล่อย Post-finance ลูกค้ามาซื้อที่อยู่อาศัย ดังนั้น ปีนี้ เราจะไม่เห็นภาพ over investment ตลาดปีนี้ ซัปพลายใหม่จะลดลง ความต้องการซื้อจะบวกลบศูนย์เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องดูครึ่งหลังของปี 67 จะมีปัจจัยอะไรใหม่ๆมาสนับสนุน”นายณัฐพงศ์

    แอบส่งกำลังใจให้ภาครัฐ

    นายณัฐพงศ์ กล่าวยอมรับว่า สภาพเศรษฐกิจตอนนี้ ทำให้ผู้ที่จะซื้อหรือมีที่อยู่อาศัยขาดความเชื่อมั่นได้ เนื่องจากมีหลายมิติที่ทั้งผู้ประกอบการ และ ผู้ซื้อมีความเป็นห่วง เริ่มจาก มิติเรื่องหนี้ที่สูง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการเป็นกังวล มิติเรื่อง GDP ถ้าตัวเลขเติบโตต่ำกว่า 2% จะยิ่งส่งสัญญาณให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง และมิติเรื่อง อัตราดอกเบี้ย ความเห็นส่วนตัว ดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่ยาวิเศษรักษาได้ทุกโรค วันนี้ ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน จะต้องสอดประสานกัน เห็นต่างได้ แต่ทำอย่างไรที่จะคุยกันได้ มีเป้หมายเดียวกัน

    “เรื่องหนี้ และ จีดีพี จริงๆผมให้กำลังใจทุกคน ทั้งแบงก์ชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าทางธปท.ผ่อนคลายเรื่อง LTV ยิ่งช่วยให้คนเข้าถึงแหล่งเงินได้ ส่วนเรื่องการแก้หนี้ ก็ว่ากันไป แต่ทำอย่างไร ที่ภาครัฐต้องไปเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน ต้องมีมาตรการออกมาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เอาเป็นว่า ผมแอบส่งกำลังใจให้”

    ฟันธง อสังหาฯรายใหญ่คุมตลาด 80%

    นายณัฐพงศ์ กล่าวถึงทิศทางตลาดอสังหาฯในช่วง 5 ปีข้างหน้าว่า ผู้บริโภคยังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ทำเลสะดวก ความปลอดภัย แม้เทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปแค่ไหน ผู้ซื้อก็ยังให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งที่กล่าวมา แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไป คือ เรื่องการแข่งขัน โดยมองใน 3 มุม คือ 1.การแข่งขันจะเข้มข้นมาก เพราะในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเหลือแต่บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ ที่มีความสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดี มีความพร้อมทั้งทีม ทุน และเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดจะมีแชร์ในตลาดเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันไม่ถึง 80% เพิ่มเป็น 80-90% เรื่องที่ 2.ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จะสร้างธุรกิจให้มีความหลากหลาย และเรื่องที่ 3.สิ่งแวดล้อม จะเปลี่ยนไป บริษัทขนาดใหญ่จะต้องคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าให้กับพนักงาน ลูกค้า และต้องตอบคำถามให้กับสังคมและนักลงทุนได้.

    ESTAR สวนกระแส Q1 ขาย-โอนฯเติบโตดี

    นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2567 ว่า เติบโตดี โดยยอดการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสแรก โตขึ้น 20% และมียอด Pre-Sale สูงขึ้นถึง 48% ซึ่งปัจจัยสำคัญที่หนุนให้แนวโน้มผลประกอบการดี มาจากการตลาดที่ลงรายละเอียดมากขึ้น และ มีการขยับเซกเมนต์ไปในตลาดบ้านแพงที่มากกว่า 5 ล้านบาท ส่วนโครงการที่จ.ระยองมีการไปจับกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 10-15 ล้านบาท ซึ่งมีการตอบรับจากลูกค้าดี

    “สิ่งที่เราทำ พูดได้ว่า เราขยัน และสินค้าเรามีความพร้อม ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสนี้ ดี โครงการทาวน์โฮมในกรุงเทพฯ ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ก็มีลูกค้ามาซื้อ เราก็โอนฯได้ เราขยับเซกเมนต์ขึ้นมา ส่วนสินค้าคอนโดมิเนียม เนื่องจากโครงการอยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 , โครงการ ควินทารา มาย‘เจน รัชดา – ห้วยขวาง และโครงการ ควินทารา มาย’เดน โพธิ์นิมิตร ราคา 3 ล้านบาท ก็ยังสามารถขอสินเชื่อได้ โอนฯได้ เพราะลูกค้าที่มาซื้อ ทำงานอยู่ 3 โรง ได้แก่ โรงเรียน โรงพยาบาล และโรงแรม ทำเลสุขุมวิท และ รัชดา มีการเปิดตัวโรงแรมขึ้นมาก ทำให้พนักงานต้องหาที่พัก มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 8,000-10,000 บาท การมากู้และมาซื้อห้องชุดกับทางโครงการ ก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือแม้แต่ โรงเรียน มีทั้ง มหาวิทยาลัยจุฬาฯ มศว.ก็มีดีมานด์จากผู้ปกครองที่เข้ามาซื้อ การที่ท่องเที่ยวเปิด ชาวต่างชาติก็มาใช้บริการในโรงพยาบาล ก็ต้องมาพักโครงการของอีสเทอร์น สตาร์ “

    CP LAND มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืน การันตีด้วยรางวัลด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

    นายกีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND เปิดเผยว่า CP LAND มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development ซึ่งเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ มุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์ที่ยั่งยืนแก่ประเทศชาติ และสังคมผ่านการบูรณาการของนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ากับทักษะและประสบการณ์ของบุคลากร ตามเป้าหมายการพัฒนาองค์กรภายในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ที่ตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า และพร้อมมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050

    “การดำเนินธุรกิจของ CP LAND ที่ให้ความสำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คือ ด้านความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เราจะยั่งยืนได้เมื่อโลกของเราดี การสนใจกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง จึงถือเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เรายั่งยืนได้ โดยทาง CP LAND ได้นำมาเป็นนโยบายเกี่ยวกับการใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ให้สอดคล้องกับพันธกิจของเครือ CP คือ Carbon Neutral 2030 และ Net Zero Emissions 2050 โดยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะได้ทยอยเห็นทุกๆอาคาร และโครงการใหม่ๆที่ CP LAND จะพัฒนาขึ้น รวมถึงการปรับปรุงอาคารที่เราพัฒนาไปแล้วเพื่อให้สามารถตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน เนื่องจากในอนาคตการสนใจสิ่งแวดล้อม จะมีการให้ความสนใจมากขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงเลือกสะสมบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านนี้มากขึ้น เพื่อพัฒนาธุรกิจและบริการให้ตอบรับแนวโน้มของกระแสโลกในอนาคตอีกด้วย” นายกีรติ กล่าว

    นายจักรพันธ์ ปิยะพฤกษพรรณ ผู้อำนวยการบริหาร CP LAND กล่าวว่า CP LAND ได้ตอบรับนโยบายเครือ CP โดยมุ่งพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน ทั้งนี้ CP LAND ได้ให้ความสำคัญด้านการบริหารงานที่คำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การจัดการประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่อง จนสามารถคว้าหลายรางวัลด้านการบริหารพลังงานที่มีประสิทธิภาพ สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ประกอบด้วย

    CP LAND โดย ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ดำเนินการระบบการจัดการพลังงานตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2548 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ตามมาตรการด้านการจัดการพลังงาน และมาตรการที่ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้เงินลงทุน เช่น ปรับปรุงระบบปรับอากาศ เปลี่ยนหอระบายความร้อน ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง หลอดไฟ LED ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญช่วยลดการปล่อย CO2 ทำให้สามารถคว้ารางวัลดีเด่นด้านอนุรักษ์พลังงานประเภทอาคาร ควบคุมระดับประเทศ (Thailand Energy Awards) และเป็นตัวแทนประเทศไทย คว้ารางวัลจากการประกวด Asean Energy Awards 2022 ประเภทอาคารปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (Retrofitted Building) ซึ่งจัดขึ้นโดย Asean Centre for Energy (ACE) หรือ ศูนย์พลังงานอาเซียน

    CP Tower นอร์ธ ปาร์ค มีความโดดเด่นด้านการอนุรักษ์พลังงานเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าในรูปแบบอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) พร้อมกับแนวคิด Office in the park การออกแบบจัดวางทิศทางของอาคารช่วยลดผลกระทบจากความร้อนของดวงอาทิตย์ การติดตั้งเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ระบบควบคุมอัตโนมัติ จนคว้ารางวัล Thailand Energy Awards 2022 ประเภทอาคารใหม่ (New & Existing Building) จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน

    CP Tower สีลม มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านการอนุรักษ์พลังงาน ปลุกจิตสำนึกด้านการประหยัดพลังงานให้กับผู้ใช้อาคาร และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารอย่างต่อเนื่อง เช่นการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงประสิทธิภาพหอระบายความร้อน และการใช้งานระบบควบคุมอัตโนมัติ จนคว้ารางวัล Thailand Energy Awards 2023 ประเภทอาคารควบคุมดีเด่น จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน

    CP Tower สีลม ได้รับตราสัญลักษณ์ MEA ENERGY AWARDS จากโครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ปีที่ 7 (โครงการ MEA ENERGY AWARDS 2023) โดยอาคารผ่านเกณฑ์ประเมินด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน MEA Index (Management of Energy Achievement Index) และเกณฑ์การประเมินทางด้านคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality : IAQ) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐาน จากการไฟฟ้านครหลวง

    CP LAND เป็นหนึ่งใน 29 องค์กรต้นแบบรับประกาศเกียรติคุณเชิดชูในฐานะที่เป็นองค์กรที่ดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก (Low Carbon Organization) ตั้งแต่ปี 2562 ในฐานะสมาชิก Climate Care Platform ในงาน Climate Care Forum 2023 : Time to Reduce “ลด-เพื่อ-โลก” จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

    โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ ได้รับรางวัล “Green Hotel 2566” ระดับดีเยี่ยม เหรียญทอง จากโครงการส่งเสริมโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นับเป็นเครื่องหมายการันตีด้านการอนุรักษ์พลังงาน การใช้ทรัพยากร พลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ มาตรฐานการบริการให้เป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชน ของโรงแรมฯ

    CP Tower พญาไท รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่น ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2566 ระดับประเทศ ปีที่ 5 (ระดับเพชร) และ CP Tower ฟอร์จูนทาวน์ รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่น ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2566 ระดับประเทศ ปีที่ 1 จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการมุ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการและการดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีให้เป็นไปตามมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และแสดงถึงความพร้อมของการประกอบกิจการในการก้าวสู่ระบบมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ

    ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น (KICE) นอกจากการออกแบบที่เน้นการประหยัดพลังงานแล้ว ยังมีการติดตั้งโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ผลิตไฟฟ้าสูงสุด 990 เมกะวัตต์ สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าใช้งานที่ศูนย์ประชุม KICE และ CP Tower ขอนแก่น ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ทำให้ไฟฟ้าที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้เต็มประสิทธิภาพ ลดค่าไฟฟ้า จนสามารถคว้ารับรางวัล BCCT KING POWER Thailand International Business Awards 2023 ประเภท Journey to Net Zero จากหอการค้าอังกฤษ-ไทย

    ศูนย์ประชุม KICE อาคารสำนักงานส่วนภูมิภาค อาคารสำนักงานกรุงเทพฯ ศูนย์การค้า Fortune Town และโรงแรมในเครือฟอร์จูน ได้รับประกาศเกียรติคุณโครงการสนับสนุนกิจกรรมลก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก. โดยในปี 2566 รวม 17 โครงการ โครงการที่สำคัญ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปประเภทโครงการการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการของเสีย โครงการจัดการขยะจากต้นทางของอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า ในอนาคตยังขยายและต่อยอดการดำเนินการไปอาคารอื่นๆ และเป็นสถานที่สำหรับการดูงานด้านพลังานและสิ่งแวดล้อมให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่สนใจ

    “จากรางวัลดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทาง CP LAND ได้รับในปี 2566 และ CP LAND มีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อนโยบายจากเครือ CP ในการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน คำนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไปอนาคต เพื่อเป้าหมายสูงสุดในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 เพื่อร่วมกันสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่ยิ่งๆขึ้นไป”นายจักรพันธ์ กล่าว.

    SUPALAI ผนึก HUAWEI และ ION วางเป้าติดโซลาร์เซลให้ลูกบ้านทั่วประเทศ 15,000 หลัง ภายใน 2571

    นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่า…ภาคธุรกิจอสังหาฯ มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และบริษัทฯ ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว พร้อมวางกลยุทธ์ สร้างพันธกิจเพื่อผลักดันให้ ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมที่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นในระยะยาว สู่การเป็นองค์กรที่มุ่งสู่ความยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายระยะกลาง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40 % ภายในปี 2573 โดยวางแผนรองรับที่สามารถทำได้จริง 

    ซึ่งการผลักดันการใช้พลังงานสะอาด สำหรับที่อยู่อาศัยเป็น 1 ในแผนดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุพันธกิจและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม อย่างเห็นผลในระดับมหภาค พร้อมหนุนให้ลูกบ้านศุภาลัยได้อยู่อาศัยในบ้านประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง พร้อมติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” ตั้งเป้าเพื่อพิชิตยอด 15,000 หลัง ภายในปี 2571 โดยปัจจุบันได้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการที่จะดำเนินการติดตั้งไปแล้วกว่า 30 % ครอบคลุมกว่า 29 จังหวัด ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสามารถคำนวณยอดผลิตกระแสไฟฟ้ารวมได้ 82,300 เมกะวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 49,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เสมือนการปลูกต้นไม้ทดแทน 3.2 ล้านต้น และลูกบ้านศุภาลัย สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 20,000-30,000 บาทต่อปี และในอนาคต บริษัทฯ มีแผนพัฒนาเพิ่มช่องทางการ Tracking ติดตามพร้อมควบคุมการผลิตกระแสไฟฟ้าผ่าน Application : SABAI สามารถใช้งานได้อย่างครบวงจรมากขึ้น

    นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความเข้าใจเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ตระหนักและใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ จึงพร้อมคิดค้นนวัตกรรมด้านการก่อสร้าง การออกแบบ รวมถึงการพัฒนาวัสดุก่อสร้างร่วมกับคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้า ที่อยู่อาศัยของศุภาลัยในทุกประเภทเป็น “บ้านรักษ์โลก” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ผ่าน 5 แกนหลักของลูกค้า ดังนี้

    1.นวัตกรรมเพื่อการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ออกแคมเปญ “Supalai Self-Proved เชิญชวนพิสูจน์ผลลัพธ์ของนวัตกรรมการก่อสร้างอย่างรักษ์โลก ผ่าน Supalai Waste Meter มาตรวัดปริมาณขยะจากการก่อสร้างโดยให้น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และนวัตกรรมด้านต่างๆ อาทิ การออกแบบบ้าน/อาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การออกแบบเพื่อลดเศษวัสดุเหลือใช้ การออกแบบเพื่อลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งในนวัตกรรมบางอย่างที่ต้องอาศัยการผลิตขึ้นมาใหม่

    ศุภาลัยจึงได้ร่วมหารือ คิดค้นและพัฒนาร่วมกับคู่ค้าทางธุรกิจ เช่น SCG TOA DOS CPAC เป็นต้น เพื่อผลิตวัสดุที่ตอบโจทย์ลูกค้าของบริษัทฯ และยังสามารถนำไปจัดจำหน่ายให้กับคนทั่วไปได้อีกด้วย

    2.การเป็นบ้านประหยัดพลังงาน มีการออกแบบวางผังตัวบ้าน/ตัวอาคารให้อยู่ในแนวเหนือใต้เพื่อหลบแดดและรับลม เน้นการออกแบบช่องเปิดประตูหน้าต่างหลายทิศทางเพื่อการระบายอากาศที่ดี และมีการเลือกใช้วัสดุที่ช่วยระบายความร้อน จนได้รางวัลการันตีด้านการออกแบบประหยัดพลังงาน อีกทั้งเลือกใช้เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5  

    3.การออกแบบเพื่อคนทุกวัย (Universal Design)  โดยบริษัทฯ คำนึงถึงการออกแบบฟังก์ชันภายในบ้าน และการใช้งานต่างๆ เพื่อรองรับทุกเพศ ทุกวัยให้ได้รับความสะดวกสบาย ความปลอดภัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะฟังก์ชันเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ออกแบบห้องนอนในชั้นล่าง พร้อมใช้วัสดุปูพื้นที่ช่วยลดการลื่นและการกระแทก ออกแบบบาน ประตูเลื่อน ไม่มีธรณีประตู ลดความต่างระดับ สำหรับกรณีการใช้รถเข็นได้สะดวกยิ่งขึ้น

    4.การปฏิวัติใช้พลังงานสะอาด นอกจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ และจุดติดตั้ง EV Charger ให้กับลูกบ้านศุภาลัยกว่า 15,000 หลังทั่วประเทศแล้ว ศุภาลัยมีความมุ่งมั่น และจริงจังเพื่อพิชิตเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40 % ภายในปี 2030  และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน 

    โดย อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ ติดตั้งโซลาร์ เซลล์ 450 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 330,397 กิโลวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

    198 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประหยัดค่าไฟฟ้าได้กว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี และยังมีการติดตั้ง ณ สำนักงานขายทั่วประเทศ และสโมสรส่วนกลาง สามารถลดค่าใช้จ่ายค่าส่วนกลางให้กับลูกบ้านได้อีกด้วย

    5.กิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากการสร้างโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนนโยบายระดับประเทศด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการให้ความสำคัญและส่งเสริมงานด้านความยั่งยืนในมิติการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วนขององค์กร อาทิ การปลูกต้นไม้บนที่ดินของบริษัทฯเพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์, เปลี่ยนการใช้ปุ๋ยเคมี สู่ปุ๋ยอินทรีไบโอฯ,กิจกรรมร่วมแบ่งปันเสื้อผ้า และสิ่งของส่งต่อให้คนงานก่อสร้าง, สนับสนุนสินเชื่อ Green Loan

    เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เชิญชวนพันธมิตรธุรกิจด้านเทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด และบริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมผนึกความแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นสู่การเป็น No.1 “บ้านติดโซลาร์” โดยเฟสแรกได้ดำเนินแผนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ลูกบ้านศุภาลัย ประเดิม 1,500 หลังทั่วประเทศ พร้อมดูแลระบบติดตั้ง บำรุงรักษา รวมถึงความรู้ความเข้าใจด้านการใช้งาน และร่วมกันผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในครัวเรือน ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับลูกค้า ยังเป็นวิธีที่ช่วยไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดภาระให้แก่โลกโดยทุกคนสามารถทำได้และเข้าถึงได้ง่ายๆ

    นายโลแกน ยู ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจดิจิทัลพาวเวอร์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ผู้ออกแบบโซลูชันอุปกรณ์แปลงผันกำลังไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน ตลอดจนระบบการจัดการและแสดงผลอัจฉริยะด้านดิจิทัลพาวเวอร์สำหรับทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน  หัวเว่ยจะดำเนินตามเป้าหมายเรื่องการส่งเสริมให้ทั้งภาคองค์กรและครัวเรือนในประเทศไทย ร่วมติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รายสำคัญของเราในประเทศไทย 

    “โดยหัวเว่ยจะสนับสนุนองค์ความรู้ทางด้านวิชาการและเทคโนโลยี รวมทั้งช่วยพัฒนาโมเดลธุรกิจและการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโปรแกรม Smart Design 2.0 สำหรับกลุ่มที่อยู่อาศัยและภาคธุรกิจของบมจ.ศุภาลัย โดยร่วมกับไอออน เอเนอร์ยี่ ในการสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อโปรโมทโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศไทย”

    โดยหัวเว่ย ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลในระดับโลก และมีบริการรวมถึงโซลูชันต่าง ๆ ที่ได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในตลาดมากกว่า 170 ประเทศ ให้ความสำคัญกับการจัดเก็บพลังงาน การนำไปใช้งาน และความปลอดภัยในการใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ ส่งเสริมให้ทั้งภาคองค์กรและครัวเรือนร่วมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ภายใต้เป้าหมายในการสนับสนุนโครงการจำนวน 30,000 โครงการในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซคาร์บอนได้ถึง 265,000 ตัน ตามเป้าหมายเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ และตามพันธกิจของหัวเว่ยที่ต้องการ ‘เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย และร่วมสนับสนุนประเทศไทย’ และ ‘การปลดปล่อยขุมพลังแห่งดิจิทัลเพื่ออนาคตที่ดีกว่า’

    นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ION ผู้นำธุรกิจจัดหาโซลูชั่นพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ จัดหา และติดตั้ง รวมถึงการดูแลบริการหลังการขายสำหรับภาคครัวเรือน อสังหาริมทรัพย์ และองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีแนวโน้มการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพื่อลุยภารกิจพิชิต Net Zero สู่อนาคตที่ยั่งยืน เทรนด์ติดตั้ง Solar Roof มีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย (Residential) ด้วยเหตุผลภาระค่าไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากความผันแปรของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและการซื้อไฟฟ้า ส่งผลให้ค่า FT มีการปรับตัวสูงขึ้น หากมีพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะทำให้ภาพรวมภาระค่าไฟฟ้าต่อเดือนยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอีกด้วย การเลือกใช้งานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรร่วมมือกันผลักดันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในทุกภาคส่วนของสังคมและสิ่งแวดล้อม

    ไอออน ได้เล็งเห็นความสำคัญและร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ และภายใต้ความร่วมมือนี้ยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทระดับโลกอย่างบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานดิจิทัลมา ร่วมออกแบบและติดตั้ง Solar Roof ให้กับบ้านในโครงการของศุภาลัย และเซ็ตมาตรฐานการติดตั้งด้วยอุปกรณ์แผงโซลาร์เซลล์ระดับ Tier 1 คู่กับ Huawei Inverter และ สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล (BCC) ที่ได้รับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยผู้ผลิตบริษัท Bangkok Cable เพื่อยกระดับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้ถูกต้องตรงตามมาตรฐานบ้านศุภาลัยทั้งในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ.

    ทีทีบีไดรฟ์ แนะทางออกปัญหา คืนรถเพราะผ่อนต่อไม่ไหว หมดภาระแต่อาจไม่จบหนี้

    เรื่องที่ต้องรู้เป็นอันดับแรก คือ การขอสินเชื่อจากธนาคาร เมื่ออนุมัติแล้วเท่ากับธนาคารเป็นผู้ออกเงินซื้อรถให้เราก่อนจึงจะได้รถยนต์ไปใช้ แล้วผ่อนชำระหนี้ให้ธนาคารตามสัญญา แต่หากวันหนึ่งสถานการณ์ทางการเงินของเราไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เกิดเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ไม่สามารถชำระค่างวดได้ดังเดิม การหยุดผ่อนรถจะทำให้ธนาคารต้องทำการยึดรถไป เพื่อนำไปขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขายมาคำนวณเปรียบเทียบกับภาระที่ค้างอยู่กับธนาคาร หากธนาคารขายรถยนต์ได้มากกว่ายอดหนี้ ธนาคารจะทำการคืนส่วนต่างให้

    ยกตัวอย่าง : นาย ก. มีหนี้สินกับทางธนาคารในการผ่อนรถอยู่ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระต่อไม่ไหวจึงขอคืนรถให้ธนาคาร ธนาคารจึงนำรถไปขายทอดตลาดได้เงินมา 1.5 ล้านบาท เงิน 1 ล้านบาทจะถูกนำไปชำระหนี้กับทางธนาคารและธนาคารจะคืนเงินจำนวน 500,000 บาทให้นาย A

    แต่รู้หรือไม่ว่า การคืนรถยนต์ให้ธนาคาร อาจจะยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะบางรายภาระอาจจะจบลง แต่ยอดหนี้ไม่ได้หายไป ทำให้เราต้องผ่อนชำระหนี้ต่อกับธนาคาร

    ยกตัวอย่าง : หากนาย ก. ให้ธนาคารยึดรถและนำไปขายทอดตลาด ธนาคารนำไปขายได้จำนวน 1 ล้านบาท แต่นาย ก. มียอดหนี้ค้างชำระกับทางธนาคารจำนวน 1.2 ล้านบาท นาย ก. ก็จะต้องจ่ายเงินให้กับทางธนาคารในส่วนที่เหลือ 2 แสนบาท

    ปรึกษาธนาคารคือ ทางออกของปัญหา

    หากปล่อยให้ธนาคารยึดรถเพราะไม่อยากผ่อนชำระต่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจบปัญหาเรื่องหนี้สินได้ แถมยังมีความเสี่ยงที่จะต้องหาเงินมาชำระเพิ่มในส่วนที่เป็นหนี้ที่เหลือและยังเสียประวัติด้านเครดิตอีกด้วย ดังนั้นในกรณีที่ผ่อนค่างวดรถยนต์ต่อไม่ไหว รู้สึกว่าเงินตึงมือ เริ่มมีปัญหาทางการเงิน ไม่ควรปล่อยให้ผิดนัดชำระเกิน 3 ครั้ง อันดับแรกควรรีบติดต่อกับทางธนาคารเพื่อหาทางออกในการผ่อนรถร่วมกันอย่างเร็วที่สุด ซึ่งธนาคารจะมีวิธีช่วยลูกค้าในเรื่องของการผ่อนชำระ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ การยืดระยะเวลาการผ่อนให้ยาวขึ้น และชำระต่อเดือนจำนวนน้อยลง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าไม่ถูกยึดรถ และสามารถนำรถไปใช้ทำงานหรือทำธุรกิจได้เหมือนเดิม

    สำหรับคนที่รู้สึกเริ่มผ่อนต่อไม่ไหว อาจจะนำรถมารีไฟแนนซ์กับทางทีทีบีไดรฟ์ เพื่อจะได้ผ่อนต่อเดือนน้อยลง ทำให้ภาระต่อเดือนก็น้อยลงไปด้วย มีเงินเหลือใช้จ่ายเพิ่มเติม ลดความกังวลเรื่องหนี้ไปได้มาก ซึ่งธนาคารพร้อมช่วยหาทางออกและลดภาระให้กับลูกค้า เพื่อส่งเสริมให้ชีวิตทางการเงินของคนไทยดีขึ้น ทั้งวันนี้และอนาคต

    ตระกูล “สวาทยานนท์”ผนึกพันธมิตรผุดอสังหาฯพื้นที่กทม.-หัวเมืองท่องเที่ยว เปิด 7 โครงการ มูลค่า 3,734 ล้าน อนาคตเล็งนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    นายพงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯทั้งธุรกิจของครอบครัวและร่วมทุนพันธมิตรมาหลายโครงการ เป็นระยะเวลาหลาย 10 ปี และมองว่าที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ยังเป็นปัจจัย 4 ที่ทุกคนมีความต้องการ ดังนั้น เมื่อปี 2561 จึงได้ร่วมกับพันธมิตรก่อตั้ง บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยตนถือหุ้นในสัดส่วน 51% และอีก 49% เป็นการถือหุ้นโดยพันธมิตรอีก 2-3 กลุ่ม โดยการพัฒนาแต่ละโครงการจะตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาพัฒนา ภายใต้แบรนด์ “Maison Development”(เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์)

    โดยการร่วมทุนในครั้งนั้นจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการพัฒนาแนวราบ ระดับราคา 2-5 ล้านบาทเป็นหลัก ในทำเลในกรุงเทพฯโซนเหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก จ.สมุทรปราการ และอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยที่ผ่านมาพัฒนามาแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2,325 ล้านบาท โดยปิดการขายไปแล้ว 3 โครงการ รวมมูลค่า 1,132 ล้านบาท ได้แก่

    1.เอ็มเวนิว เวสต์เกต (M Venue Westgate) ตั้งอยู่ย่านบางรักพัฒนา จ.นนทบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 9 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาดที่ดินตั้งแต่ 37-50 ตารางวา ราคา 4-6 ล้านบาท จำนวน 54 ยูนิต มูลค่าโครงการ 212 ล้านบาท

    2.เอ็มไลฟ์ บางนา-ลาดกระบัง (M Live bangna-lat krabang) ตั้งอยู่บริเวณ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ บนพื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของ ทาวน์โฮม 2 ชั้น และโฮมออฟฟิศ 3.5 ชั้น ขนาดที่ดิน 18-50 ตารางวา ราคา 2-4 ล้านบาท จำนวน 66 ยูนิต มูลค่าโครงการ 190 ล้านบาท

    3.เอ็มไลฟ์ บางแค-สาทร (M Life Bangkae-Sathon) ตั้งอยู่บริเวณถนนกาญจนาภิเษก บนพื้นที่ทั้งหมด 18 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดที่ดิน 17.5-18.9 ตารางวา ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 204 ยูนิต มูลค่าโครงการ 730 ล้านบาท

    ส่วนอีก 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย มีมูลค่าประมาณ 1,193 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมดภายในปี 2567 นี้ ประกอบด้วย

    1.เอ็มไลฟ์ ลำลูกกา-คลอง 4 (M Life Lamlukka – Klong 4) ตั้งอยู่บริเวณ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี บนพื้นที่ทั้งหมด 19 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดที่ดิน 18.5-20.1 ตารางวา ราคา 2-4 ล้านบาท จำนวน 210 ยูนิต มูลค่าโครงการ 473 ล้านบาท

    2.เอ็มไลฟ์ สุขุมวิท-บางปู87 (M Life Sukhumvit- Bangpu 87) ตั้งอยู่บริเวณย่านบางปูใหม่ จ.สมุทรปราการ บนพื้นที่ทั้งหมด 17 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด และ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดที่ดิน 18.5-37 ตารางวา ราคา 2-4 ล้านบาท จำนวน 173 ยูนิต มูลค่าโครงการ 460 ล้านบาท

    3.ศรีราชา ฮิลล์ไซด์ ทาวน์ สุขุมวิท- ศรีราชา (Sriracha Hillside Town Sukhumvit-Sriracha) ตั้งอยู่บริเวณ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 8 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และ อาคารพาณิชย์ ขนาดที่ดิน 18-50 ตารางวา ราคา 4-7 ล้านบาท จำนวน 63 ยูนิต มูลค่าโครงการ 260 ล้านบาท

    ดังนั้น แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2567 นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 7 โครงการ รวมมูลค่า 3,734 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ,ศรีราชา(ชลบุรี)และภูเก็ต (ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต) โดยในปีนี้ บริษัทฯได้มีการปรับแผนรุกพัฒนาบ้านระดับลักชัวรี ระดับราคาตั้งแต่ 7-20 ล้านบาท ถึงจำนวน 6 โครงการ คือที่ กรุงเทพฯ 5 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ โดยมีที่ดินรองรับทั้งหมดแล้ว ประกอบด้วย

    1.ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา (Maison Hill Sukhumvit-Sriracha ) ตั้งอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บนพื้นที่ 24 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม ขนาด 18-24 ตารางวา ราคา 2.3-3.5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาด 35-36 ตารางวา ราคา 3.9-4.2 ล้านบาท รวม 176 ยูนิต มูลค่าโครงการ 558 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 150 ล้านบาท

    2.มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2 (Morgen Bangkhunthian-Rama2 ) ตั้งอยู่บริเวณย่านบางขุนเทียน บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 50-70 ตารางวา ราคา 7.5-14 ล้านบาท จำนวน 103 ยูนิต มูลค่า 1,060 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในเดือนพฤษภาคม 2567

    3.เอ็ม เวนิว พระราม3-สุขสวัสดิ์62 (M Venue Rama 3 – Suksawat 62) บริเวณซอยประชาอุทิศ 27 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 3 ชั้น ขนาด 22.5-35.5 ตารางวา ราคา 4.9-6 ล้านบาท จำนวน 42 ยูนิต มูลค่าโครงการ 257 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในเดือนตุลาคม 2567

    4.แกรนด์ มอร์เกน ไพรเวซี่ พรานนก-สาย1(Grand Morgen Privacy Phrannok – Sai 1) บริเวณถนนบางเชือกหนัง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นในรูปแบบพูลวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 100-120 ตารางวา ราคา 18-20 ล้านบาท จำนวน 14 ยูนิต มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในเดือนพฤศจิกายน 2567

    5.แกรนด์ มอร์เกน พรานนก-สาย2 (Grand Morgen Phrannok – Sai 2) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 28 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 102 -198.9 ตารางวา ราคา14-16 ล้านบาท จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในเดือนพฤศจิกายน 2567

    6.มาร์วิช สาธุประดิษฐ์-พระราม3 (Mavich Sathupradit -Rama 3 ) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง ขนาดตั้งแต่ 24.4-46.6 ตารางวา ราคา 14-16 ล้านบาท จำนวน 29 ยูนิต มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในเดือนพฤศจิกายน 2567

    และ 7.เมซัน สกาย วิลล่า ภูเก็ต (Maison Sky Villa Phuket) บริเวณหาดไม้ขาว ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของพูลวิลล่า 3 ชั้น ขนาด 43.5-69.75 ตารางวา ราคา 20-25 ล้านบาท จำนวน 8 ยูนิต มูลค่าโครงการ 180 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในช่วงเดือนตุลาคม 2567 โดยทุกโครงการอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2567-2569

    “ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วง 5 ปีนี้ จะยังคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคาตั้งแต่ 3-20 กว่าล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งยังมีที่ดินย่านหาดในทอน สะสมเหลืออยู่อีกประมาณหลาย 10 ไร่ โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะทำให้บริษัทมีพอร์ตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท และในอนาคตก็สนใจที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย ส่วนจะเป็นตลาดไหนต้องขอใช้ระยะเวลาในการศึกษาข้อมูลก่อน”นายพงศ์ศักดิ์ กล่าว

    อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 1,400-1,500 ล้านบาท และยอดโอน 900 ล้านบาท จาก 3 โครงการเดิมและ 7 โครงการที่จะเปิดตัวใหม่ในปี 2567 นี้.

    Villa Escape นิยามใหม่ของพูลวิลล่าซูเปอร์ลักชัวรี บนเกาะมะพร้าว จ.ภูเก็ต พร้อมประกาศความสำเร็จการเป็นที่พักอาศัยสุดหรูในสไตล์ซูเปอร์ลักชัวรี

    บุราสาหรี เรสซิเดนส์ (Burasari Residence) นิยามใหม่ของการใช้ชีวิตหรูหรา บนเกาะมะพร้าว จังหวัดภูเก็ต เปิดตัว วิลล่า เอสเคป (Villa Escape) เฟส 2 ที่พักอาศัยหลังที่สองเพื่อการใช้ชีวิตแห่งอนาคต พร้อมประกาศความสำเร็จด้วยยอดขายเฟส 1 ทะลุ 2 พันล้านบาท ด้วยเสน่ห์ของโครงการพูลวิลล่าระดับซูเปอร์ลักชัวรี ที่มีการออกแบบเป็นเอลักษณ์ของบุราสาหรี ที่รวมฟังก์ชั่นของสิ่งอำนวยความสะดวกและ การทำงานของบ้านอัจฉริยะ และรวมการจัดงานพื้นที่ใช้สอยสำหรับครอบครัว ด้วยแรงบันดาลใจจาก Geoffrey Bawa สถาปนิกผู้ทรงอิทธิพลในการออกแบบระดับโลกในรูปแบบสถาปัตยกรรร่วมสมัยสไตล์พื้นที่เขตร้อนผสมผสานแบบ Tropical Modernism ที่มุ่งเน้นการเป็น Holiday Home สำหรับครอบครัวที่ต้องการแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน พร้อมส่งต่อประสบการณ์การใช้ชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    ลิลลี่ อุดมคุณธรรม กรรมการผู้จัดการกลุ่มบุราสาหรี (ทายาทตระกูลอุดมคุณธรรม) กล่าวว่า ภายหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ที่ บ้านและที่พักอาศัยในประเทศไทยกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะบ้านในสไตล์ลักชัวรี ที่กำลังเป็นที่จับตามองในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ผ่านมามีอัตราเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 30-40%

    โดยโครงการวิลล่า เอสเคป ได้ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนและผู้พักอาศัยด้วยการมอบพูลวิลล่าสุดลักชัวรี บนเกาะมะพร้าว จังหวัดภูเก็ตที่สามารถเดินทางเข้าถึงตัวเมืองภูเก็ตได้อย่างสะดวก และจากความสำเร็จของโครงการวิลล่า เอสเคป เฟส 1 ที่สามารถทำยอดขายทะลุ 2,000 ล้านบาท ได้ตอกย้ำถึงสถานะของโครงการบุราสาหรี เรสซิเดนส์ ในการสร้างที่พักอาศัยที่เป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำ สำหรับผู้แสวงหาความหรูหราและมีรสนิยมจากทั่วโลก 

    “จากความสำเร็จดังกล่าว บุราสาหรี เรสซิเดนส์ จึงพัฒนาที่พักอาศัยในระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยการเปิดให้จอง วิลล่า เอสเคป เฟส 2 พูลวิลล่า 4-5 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 1,000 ตร.ม. พร้อม Infinity Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และพื้นที่ส่วนกลางหรือศาลากลางบ้านที่ออกแบบให้เป็น Living Area ที่มีขนาดกว้างขวาง พร้อมระบบ Home Automation ที่อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกหลานเจเนอเรชันใหม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างลงตัว อาทิ ฟังก์ชันการเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ม่าน สวิตช์ไฟ แอร์ด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบกล้องวงจรปิดทั้งภายในโครงการและภายในบ้าน, ระบบล็อกประตูแบบดิจิทัล และระบบโซลาร์เซลล์ เป็นต้น ที่สำคัญบ้านทุกหลังมีวิว Beach Front โดยสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกสร้างบรรยากาศสุดโรแมนติก ด้วยพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 1,600 ตร.ม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเรือรับส่งพร้อมการบริการสุดหรูสำหรับบ้านแต่ละหลังในการเดินทางเข้า-ออกจากเกาะสู่ท่าเทียบเรือภูเก็ตอย่างรวดเร็วสะดวกสบาย

    โดยโครงการ วิลล่า เอสเคป ถูกออกแบบให้มีความเป็นเอกลักษณ์ของบุราสาหรี ผสมผสานกับแรงบันดาลใจจากผลงาน Tropical Modernism ของ Geoffrey Bawa ที่สร้างสรรค์ความสวยงามเข้ากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเหนือความคาดหมาย เน้นความหรูหราผสมผสานกับความทันสมัยในแบบ Tropical Modernism พร้อมการออกแบบที่เน้นประโยชน์ใช้สอย ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบและความงดงามของเกาะมะพร้าว จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากภูเก็ต โดยใช้ระยะเดินทางเพียง 10 นาที พร้อมวิวของชายหาดที่บ้านแต่ละหลังหันหน้าออกสู่ทะเล จึงตอบโจทย์ความต้องการของ การใช้ชีวิตอย่างมีระดับด้วยไลฟ์สไตล์สุดหรูและดื่มด่ำกับธรรมชาติริมทะเลที่ไม่ไกลเมือง อีกทั้งเป็นสมาร์ทโฮม สำหรับคนรุ่นใหม่ในอนาคต

    ทีทีบี รุกหนักทรานส์ฟอร์มองค์กรรอบด้าน เปิดตัว 7 ผู้บริหารรุ่นใหม่นำทัพเร่งยกระดับประสบการณ์ด้านการเงินแบบไร้รอยต่อออนไลน์-ออฟไลน์ สานต่อพันธกิจสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้คนไทย

    จัดทัพเสริมความแข็งแกร่งด้านดิจิทัล ชู 3 ผู้นำรุ่นใหม่
    ทีทีบีเดินหน้าจัดทัพสร้างความแข็งแกร่ง นำทีมในการกำหนดกลยุทธ์ด้านดิจิทัลของธนาคาร คิดค้นและใช้เทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกด้าน พร้อมส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่แตกต่างและเหนือกว่า โดยมี นายนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ รับบทบาทประธานกลุ่ม งานกลยุทธ์องค์กรและดิจิทัล (Chief Strategy and Digital Group) โดยนายนริศ เป็นหนึ่งในผู้นำการรวมกิจการจนประสบความสำเร็จกลายเป็นทีทีบีด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารทีมงานที่แข็งแกร่ง เริ่มทำงานที่ทีทีบีตั้งแต่ปี 2561 หลังจบการศึกษาปริญญาโท ด้านบริหาร จาก Harvard Business School ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งทีมดิจิทัล ttb spark เพื่อเดินหน้าพัฒนาแอป ttb touch ภายใต้คอนเซ็ปต์ Humanized Digital Banking ยกระดับประสบการณ์ทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้ารายย่อย อีกทั้งต่อยอดโซลูชัน Beyond Banking ที่ตอบโจทย์ในระดับ Segment-of-One และเป็นประโยชน์กับลูกค้าได้อย่างรอบด้าน

    เสริมทัพด้วยผู้มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล แต่งตั้งนายรัชกร ชยาภิรัต ประธานกลุ่ม เทคโนโลยี (Chief Technology Group) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ttb spark เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านดิจิทัลให้กับธนาคาร และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธนาคารในหลายด้าน เพื่อให้สามารถส่งมอบโซลูชันทางการเงินให้กับลูกค้าธุรกิจได้รอบด้าน อาทิ ด้านการทำธุรกรรมภายในประเทศและช่องทางการค้า และนวัตกรรมดิจิทัล ttb business one แพลตฟอร์มธนาคารออนไลน์เพื่อธุรกิจและเอสเอ็มอี รวมถึงเป็นหนึ่งในผู้นำการดำเนินการรวมกิจการจนสำเร็จ โดยนายรัชกรได้นำความรู้ปริญญาโท ด้าน Management of Information Systems จาก London School of Economics ประเทศอังกฤษ และประสบการณ์ทำงานร่วมกับทีทีบีมากกว่า 9 ปี มาช่วยสนับสนุนเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศของทีทีบี ให้สอดรับกับความต้องการด้านธุรกิจและ New Business Model ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    เพื่อให้การปรับเปลี่ยนดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันเกิดขึ้นได้แบบรอบด้าน ทีทีบีให้ความสำคัญในการนำข้อมูล (Data) มาใช้ประโยชน์สูงสุดตอบโจทย์ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics (Chief Data and Analytics Group) จะเป็นผู้นำทีมขับเคลื่อนดูแลบริหารด้าน Data และ AI ของธนาคาร นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากความรู้ความเชี่ยวชาญจากการศึกษาปริญญาโทด้าน Computational Economics จาก University of Maryland ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์จาก National University of Singapore ด้วยประสบการณ์ตำแหน่งหัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ttb analytics และความชำนาญการทางด้านการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Insight) เพื่อขับเคลื่อนการส่งมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าในระดับ Segment-of-One ผ่าน Personalized AI Engine ทำให้ทีทีบีสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงใจ ในเวลาที่เหมาะสม รวมถึงขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ทีทีบีมุ่งมั่นที่จะสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นในทุก ๆ มิติ ภายใต้กลยุทธ์ Ecosystem Play บนลูกค้า 4 กลุ่ม ได้แก่ คนมีรถ คนมีบ้าน มนุษย์เงินเดือน และลูกค้า Wealth ซึ่งนางณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่ม กลยุทธ์ลูกค้าบุคคล (Chief Retail Strategy Group) หนึ่งในผู้บริหารหลักที่ผลักดันโครงการนำร่องต่าง ๆ ภายใต้ Retail Business Transformation จะมีบทบาทสำคัญในการศึกษาและทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าบุคคล การกำหนดกลยุทธ์และวางแผนทางธุรกิจ รวมถึงการกำหนดผลิตภัณฑ์ ช่องทาง และรูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสม กับแต่ละกลุ่มของลูกค้า (Sales & Service Model) โดย นางณัฐวรรณ จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโท ด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สาขา Data Mining มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ หลักสูตรผู้บริหารทางด้าน Digital disruption: Digital Transformation Strategies จาก Judge Business School, University of Cambridge ประเทศอังกฤษ

    ทีทีบี ยังมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบโจทย์ลูกค้า สอดรับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) โดยนายจเร เจียรธนะกานนท์ ประธานกลุ่ม บริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย (Chief Retail Lending Group) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำทีมในการกำหนดกลยุทธ์ การออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงการดูแลคุณภาพสินเชื่อ เพื่อให้ธนาคารสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำงาน ด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อบ้านมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี หลังจบปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ University of Wisconsin – Madison ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้นำในด้านการวางแผน ขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในสินเชื่อรายย่อย รวมทั้งโซลูชันการรวบหนี้ โซลูชัน Digital Lending นอกจากนี้ ยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ttb consumer

    ด้านการออมและลงทุน ทีทีบียังคงเดินหน้าเป็นผู้ช่วยต่อยอดความคุ้มค่า-มั่นคง-มั่งคั่ง มอบประสบการณ์การการออมและลงทุนที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า ภายใต้การนำทีมของ นางสาวกนกวรรณ เพชรพิสิฐโชติ ประธานกลุ่ม บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกรรมธนาคารและความมั่งคั่งทางการเงิน (Chief Transaction and Wealth Product Group) ดูแลรับผิดชอบด้านการบริหารผลิตภัณฑ์เงินฝาก ผลิตภัณฑ์ประกันและผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุน พัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ที่สอดรับกับสภาวะตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเงินฝาก กลุ่มลูกค้าด้านการลงทุนและประกัน ให้เกิดความคล่องตัว สามารถเลือกรูปแบบการลงทุนได้เหมาะสมตามความต้องการยิ่งขึ้น โดยนางสาวกนกวรรณ จบการศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เงินฝากรูปแบบต่าง ๆ มาช่วยขับเคลื่อนให้ทีทีบีสามารถแข่งขันทางด้านผลิตภัณฑ์เงินฝาก โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ดิจิทัลทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ ให้มีการเติบโตตามเป้าหมายของธนาคารได้อย่างต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ ทีทีบียังมุ่งยกระดับประสบการณ์การให้บริการ Digital-First Experience โดยปรับเปลี่ยนสาขาเป็น Digital Branch มีเครื่องมือดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ให้ความสำคัญกับการให้บริการแบบไร้รอยต่อระหว่างแอป ttb touch และช่องทางสาขา และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หรือ ทีม Private Banking พร้อมยกระดับบทบาทพนักงานสาขาเป็นที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งนำทีมโดย นายพีรพงศ์ นิธิไกรวุฒิ ประธานกลุ่ม ธุรกิจการขายลูกค้าบุคคล (Chief Retail Distribution Group) จบการศึกษาปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ เป็นหนึ่งในผู้บริหารหลักที่ผลักดันโครงการ Branch Transformation ของธนาคารให้ประสบความสำเร็จ ตลอดจนเป็นผู้นำในการบริหารทีมงานยกระดับการให้บริการ และปรับเปลี่ยน Sales Model ทำให้ธุรกิจสาขาเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายด้าน รวมถึงด้านทักษะและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยนายพีรพงศ์จะเป็นผู้รับผิดชอบด้านการกำหนดแนวทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการให้บริการของธนาคารให้มีประสิทธิผลสำหรับกลุ่มลูกค้าบุคคล

    ทีทีบีเชื่อว่าการเสริมความแข็งแกร่งด้วยทีม 7 ผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ร่วมงานกับทีทีบีมาเป็นระยะเวลานาน จะช่วยผลักดันให้ทีทีบีขับเคลื่อนกลยุทธ์ เร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเพิ่มศักยภาพโดยนำดิจิทัลมาดูแลลูกค้าทุกกลุ่มในทุกช่วงชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าคนมีรถ คนมีบ้าน พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth เพื่อส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ดีขึ้นแบบรอบด้าน และเป็นแรงผลักดันให้ธนาคารสามารถเดินหน้าสู่การเป็น The Bank of Financial Well-being หรือ ผู้นำด้านการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน

    ศุภาลัย 4 วันเกินเป้า! งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ กระแสตอบรับเกินคาด กวาดยอดขายกว่า 250 ล้าน

    บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เผยความสำเร็จกวาดยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ กว่า 250 ล้านบาท ภายใน 4 วัน จากงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 45 ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความสนใจโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมจากศุภาลัยเป็นอย่างดี โดยความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเรียลดีมานด์ยังอยู่ในระดับสูง สินค้าคอนโดมิเนียมทุกเซกเมนต์ ทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลับมาฟื้นตัวคึกคักเพิ่มจากปีก่อนมากขึ้น และโครงการแนวราบยังได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยม 

    ซึ่งภายในงานศุภาลัยคัดสรรบ้านและคอนโดฯ พร้อมอยู่ทั่วประเทศ หลากหลายแบรนด์ แบบบ้านซีรีส์ใหม่ พร้อมฟังก์ชันและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย บนทำเลคุณภาพ มาให้เลือกรวมกว่า 200 โครงการ รวมทั้งโปรโมชันที่จัดเต็มคาราเบล “SUPALAI FREEZABLE FESTIVAL” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ยอดจองหลังงานพุ่งสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง.

    เอพี ไทยแลนด์ เผยโฉม “ASPIRE รัชโยธิน”คอนโดพร้อมอยู่ใหม่ ลูกค้าให้การตอบรับดีชูส่วนกลางตอบอิสระการใช้ชีวิต ใกล้รถไฟฟ้า เริ่ม 2.25 ล้าน

    และวันนี้ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ เบอร์หนึ่งคอนโด
    เพื่อคนเมืองแถวหน้าของไทย ได้มาเปิดตึกเผยโฉม
    “ASPIRE รัชโยธิน” คอนโดฯพร้อมอยู่ใหม่ ที่ลูกค้าให้การตอบรับดี คุ้มค่าที่สุดในย่าน ตอบทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและการลงทุนปล่อยเช่า ในราคาพิเศษช่วงเปิดตึก ห้องชุด 1 ห้องนอน วิวสระ ชั้นสูง ฟรีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมอยู่ เริ่ม 2.25 ล้านบาท ด้วยมูลค่าโครงการถึง 1,500 ล้านบาท

    นางสาวนิยมาพร โต๊ะสงวนพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขายธุรกิจ กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ เผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าต่อตามแผนเปิดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯพร้อมอยู่ใหม่ กับ ASPIRE รัชโยธิน ย้ำจุดยืนเริ่มชีวิตที่อยากใช้ AP คอนโด ชูไฮไลต์การออกแบบคอนเซ็ปต์ ‘Energetic as You ASPIRE’ ที่แรกและที่เดียวในย่าน คอนโดพร้อมอยู่ใหม่ที่พร้อมส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ตอบทุกอินไซต์อิสระการใช้ชีวิตแบบ Modern Retreat Living ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การผ่อนคลาย ที่ควบคู่ไปกับมิติด้านสุขภาพกายใจที่ดี ให้กับลูกค้าที่ต้องการคอนโดพร้อมอยู่ใหม่ที่จะเติมเต็ม ‘พลัง’ ในทุกช่วงเวลา บนทำเลที่สะดวกเพียง 350 เมตรจาก BTS รัชโยธิน

    ASPIRE รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท จำนวน 633 ยูนิต ล่าสุดมียอดขาย 93% จากความสำเร็จของแบรนด์ ASPIRE ที่ครองแชมป์คอนโดแมสเซกเมนต์ที่ดีที่สุด ทำให้ ASPIRE รัชโยธิน ได้รับฟีดแบ็กที่ดีจากลูกค้าเรียลดีมานด์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ ที่ตอบรับเข้าเยี่ยมชมโครงการและตรวจรับห้อง การันตีถึงสัญญาณบวกของลูกค้าเรียลดีมานด์ที่มีต่อคอนโดพร้อมอยู่ใหม่ในเครือเอพี ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าตั้งแต่ต้นปี

    ประกอบกับความเชื่อมั่นในคุณภาพของคอนโดเอพีแบรนด์ ASPIRE ลุคใหม่ ที่พัฒนาและส่งมอบสินค้า คุณภาพ ดีไซน์ที่แตกต่าง พื้นที่ส่วนกลางรองรับการใช้งาน 24 ชั่วโมง และที่สำคัญความลงตัวของยูนิตเลย์เอาต์ ห้องชุดที่ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนได้ไร้ขีดจำกัด ในแพ็กเกจราคาที่คุ้มค่าที่สุด

    ความพิเศษนี้ ไม่อยากให้พลาด ASPIRE รัชโยธิน (ซอยพหลโยธิน 35) เดินทางง่ายเพียง 350 เมตรจาก BTS รัชโยธิน เหลือเพียงไม่กี่ยูนิต! พร้อมจัดเต็มราคาพิเศษ! ฉลองการเปิดตึก ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน วิวสระ ชั้นสูง ฟรีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมอยู่ เริ่ม 2.25 ล้านบาท จองและโอนรับไปเลยโปรฯ ดอกเบี้ยต่ำ 1.99% นาน 12 เดือน และผ่อนต่ำล้านละ 2,500 บาท/เดือน และสิทธิพิเศษอีกมากมาย.

    ASPIREรัชโยธิน #AP #BTSรัชโยธินAPThaiUpdate2024 #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #ASPIREรัชโยธินเริ่มชีวิตที่อยากใช้APคอนโด #APCondo #คอนโดใกล้รถไฟฟ้า #คอนโดไม่เกิน3ล้าน.

    ดี-แลนด์ กรุ๊ป บุกชิงแชร์อสังหาฯเมืองรอง เปิดตัวบ้านหรู“เดอะพราว เพรสทีจ บายพาส-ราชบุรี” บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองรอง PRE-SALE 30 – 31 มี.ค.นี้

    นายเพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม 2 – สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ “พอร์โต้ ชิโน่” และจุดแวะพักครบวงจร “พอร์โต้ โก” เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจและเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการรุกพัฒนาโครงการใหม่ๆ ขยายการลงทุนไปในจังหวัดเมืองรองข้างเคียงกรุงเทพที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทได้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของเมืองรองอย่างจังหวัดราชบุรี ที่มีเศรษฐกิจภายในเข้มแข็งและมีรายได้ต่อหัวประชากรสูง และยังเป็นจุดสำคัญของการกระจายสินค้าสู่ภาคตะวันตก ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในราชบุรี ยังมีการแข่งขันไม่สูงมากนัก มีการพัฒนาโครงการใหม่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่และท้องถิ่นเข้ามาทำตลาดไม่กี่ราย  แต่กลับมีการขยายตัวในแง่ของมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดในเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวของจังหวัดราชบุรีมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงกว่า 3,979 ล้านบาท ซึ่งสวนทางกับภาพรวมอสังหาฯ ทั้งประเทศที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง จึงนับว่าราชบุรียังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้นไปที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการยังคงมีดีมานด์เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

    “ทั้งนี้ สินค้าประเภทบ้านแนวราบระดับบนในราชบุรี คาดว่าจะยังคงเป็นตลาดที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ เห็นได้จากปริมาณดีมานด์ที่มีเข้ามาในโครงการ ‘เดอะพราว บายพาส-ราชบุรี’ ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูในสังคมคุณภาพและความเป็นส่วนตัวเพียง 78 ครอบครัว ที่บริษัทได้รุกขยายการพัฒนาโครงการเข้าไปในจังหวัดราชบุรีเป็นโครงการแรก และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่เปิดให้เข้าชมและสัมผัสโครงการจริง จนสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และเพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จ รวมทั้งต้องการตอกย้ำการเป็นแบรนด์อสังหาฯ ผู้นำตลาดบ้านลักซ์ชัวรี่ชั้นนำที่ครองใจผู้บริโภคในพื้นที่ราชบุรีอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงได้เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ‘เดอะพราว เพรสทีจ บายพาส-ราชบุรี’ นิยามใหม่ของการใช้ชีวิตเหนือระดับ ที่จะสะท้อนความ Minimalist ในแบบที่เป็นคุณได้อย่างลงตัวที่สุด โดยบริษัทจะทยอยเปิดขาย 2 เฟส โดยเฟสแรกเป็นโครงการสร้างเสร็จก่อนขาย ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าด้านการก่อสร้างไปแล้วกว่า 90% และจะทยอยก่อสร้างในเฟสต่อไป”

    โครงการเดอะพราว เพรสทีจ บายพาส-ราชบุรี (The Proud Prestige Bypass Ratchaburi) นิยามใหม่ของการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่หรูหราอย่างมีระดับ ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันภายใต้แนวคิด “Minimal is New Luxury” เพื่อตอบโจทย์ของการอยู่อาศัยกับบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดสุดหรู 2 ชั้น จำนวนรวม 152 ยูนิต ซึ่งเป็นแบบบ้านที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ซื้อบ้านที่เป็นกลุ่มผู้บริหารและข้าราชการระดับสูง เจ้าของกิจการในพื้นที่ รวมทั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในเซ็กเมนต์ Main Class และ Upper Class โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพสูงที่สุดของอำเภอเมืองราชบุรี ติดถนนใหญ่เส้นบายพาส-ราชบุรี เชื่อมต่อไปย่านธุรกิจสำคัญและศูนย์การไลฟ์สไตล์ที่มีหลากหลายได้อย่างรวดเร็ว บนพื้นที่โครงการกว่า 34 ไร่ ในราคาเริ่มต้นที่ 4.59-7.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมกว่า 920 ล้านบาท

    โดยโครงการเดอะพราว เพรสทีจ บายพาส-ราชบุรี ยังโดดเด่นด้วยดีไซน์และการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Life in The Future” อนาคตที่คุณออกแบบเองได้ กับแบบบ้านที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด  ตั้งแต่รูปแบบการดีไซน์ที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงความหรูหราได้ลงตัวและมีความทันสมัย การเลือกสรรวัสดุพรีเมียมที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน มาพร้อมกับระบบบ้านอัจฉริยะ AIS Smart Home ให้คุณปลอดภัยและสะดวกสบาย ระบบโครงสร้างรองรับส่วนต่อเติมให้ทุกพื้นที่ในบ้านใช้งานได้จริงอย่างคุ้มค่า คำนึงถึงสมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุด้วยการเพิ่มทางลาดเอียงหน้าบ้านเพื่อรองรับการใช้งานวีลแชร์   และรองรับการติดตั้งระบบ EV Charger* เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุดและรองรับได้ครบทุกมิติ โดยมีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ได้แก่

    • แบบบ้านเดี่ยว PRIVA (พรีว่า) บนที่ดินขนาด 62 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 273 ตร.ม.

    • บ้านเดี่ยว PARADIS (พาราดิส) บนที่ดินขนาด 53 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 219 ตร.ม.

    • บ้านเดี่ยว PRIDE (ไพรด์) บนที่ดินขนาด 50 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 193 ตร.ม.

    • บ้านแฝด PASSION (แพชชั่น) บนที่ดินขนาด 38 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 156 ตร.ม.

    พร้อมยกระดับการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ได้คุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานโครงการบ้านชั้นนำในกรุงเทพฯ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ให้คุณได้ปลดล็อคทุกความเหนื่อยล้ากับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ห้องฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ครบครัน ห้อง Co-working space เสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยใน Kid Club หรือสนามเด็กเล่นในสวนส่วนกลางและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ และอุ่นใจไปกับระบบรักษาความปลอดภัยครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกบ้านเต็มรูปแบบตลอด 24 ชม. 

    “จากความสำเร็จที่ได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายโครงการเดอะพราว บายพาส-ราชบุรี ได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าโครงการบ้านระดับบนในจังหวัดราชบุรีอย่างชัดเจนว่า มีความต้องการอยู่อาศัยภายในโครงการที่จะช่วยเติมเต็ม พร้อมยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต  อีกทั้งยังใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งด้านคุณภาพ คอนเซ็ปต์ดีไซน์ ระบบรักษาความปลอดภัย งานบริการทั้งก่อนและหลังการขาย และปัจจัยสำคัญที่สุดที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อ คือ ทำเลที่ตั้ง ต้องอยู่ในพื้นที่ที่ศักยภาพสูง เดินทางสะดวกและเชื่อมต่อแหล่งธุรกิจสำคัญได้อย่างรวดเร็ว จึงจะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการอยู่อาศัยและทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้ซื้อบ้านยุคใหม่ในราชบุรีได้อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการของ ดี-แลนด์ กรุ๊ป ที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างตรงจุดมากที่สุด จึงคาดหวังว่าโครงการ เดอะพราว เพรสทีจ บายพาส-ราชบุรี จะได้รับการตอบรับที่ดีอีกครั้ง” กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าว

    ทั้งนี้ บริษัทจะเปิด Pre-sale โครงการ “เดอะพราว เพรสทีจ บายพาส-ราชบุรี” พร้อมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างและสัมผัสกับบ้านจริงที่สร้างเสร็จพร้อมขาย ในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 30–31 มีนาคมนี้ และจัดโปรโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจเพียงลงทะเบียนจองผ่านเว็บไซต์ https://dl.co.th/the-proud-prestige/ รับส่วนลดพิเศษเพิ่ม 50,000 บาท* พร้อมโอกาสในการเลือกแปรงสวยได้ก่อนใครทันที สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1793 หรือคลิกดูรายละเอียดและติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวที่ https://www.dl.co.th/ และ Facebook: Dlandclub 

                               *****************

    เกี่ยวกับบริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป

    บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด  ก่อตั้งมา 22 ปี เราเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ อาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า ในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม 2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ “พอร์โต้ ชิโน่” บนถนนพระราม2 และจุดแวะพักครบวงจรตามถนนสายหลัก “พอร์โต้ โก” บางปะอินและท่าจีน ที่มี Drive-thru ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ ยังได้ขยายธุรกิจครอบคลุมธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยมีนายเพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง ดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งยึดมั่น Core value ขององค์กรที่ต้องการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเพื่อให้ลูกค้าของเรามีความสุข.

    เจ.ดี.พูลส์ระดมสมองแฟรนไชส์ ตั้งเป้า1พันล้านบาท-เข้าตลาดหุ้น

    นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำคุณภาพ เจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยถึงการประชุมผู้ประกอบการแฟรนไชส์ เมื่อวันที่ 14-16 มีนาคม 2567 ที่ ทอสคาน่า วัลเล่ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาว่า เป็นการให้นโยบายทั้งของปีนี้และอนาคต เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจวิธีคิดและการทำงานของบริษัท แล้วร่วมกันวิเคราะห์ทิศทางการตลาด กำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกันในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว

    ที่ประชุมมีการนำเสนอนโยบายการขายซึ่งมีช่องทางการตลาดหลายช่องทาง อาทิ ช่องทางขายปลีกซึ่งที่ผ่านมาเจ.ดี.พูลส์มีความถนัดมากและประสบความสำเร็จมากทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในตลาดสระว่ายน้ำจนทำให้แบรนด์ติดตลาดยาวนานถึง 27 ปี ขณะเดียวกันช่องทางขายส่ง ช่องทางตลาดโครงการเอกชน และช่องทางตลาดราชการก็กำลังเติบโตและเป็นโอกาสใหม่ๆ “เจ.ดี.พูลส์ได้สร้างความมั่นใจแก่สาขาทั่วประเทศว่า พันธมิตรธุรกิจที่เพิ่งลงนามร่วมกันเมื่อปลายปี 2566 คือบริษัท เคโมฟอร์ม หรือซีเอฟกรุ๊ป(CF Group) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจทางด้านเคมีภัณฑ์และอุปกรณ์สระว่ายน้ำที่มีบริษัทในเครือมากกว่า 70 บริษัทในเยอรมนี ฝรั่งเศส และหลายประเทศในยุโรป ที่ให้สิทธิ์เจ.ดี.พูลส์เป็นตัวแทนจำหน่ายพิเศษ ระบบบำบัดน้ำและอุปกรณ์สระว่ายน้ำของซีเอฟกรุ๊ปในประเทศไทยรวมถึงตลาดอาเซียน”นายธนูศักดิ์กล่าว

    โดยในที่ประชุมมีพันธกิจร่วมกันว่าจะผลักดันยอดขายรวม 22 สาขาทั่วประเทศให้ถึง 1,000 ล้านบาทในปี 2570 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่บริษัท เจ.ดี.พูลส์ ตั้งใจจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

    สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของเจ.ดี.พูลส์ที่จะเปิดตัวในเวลาอันใกล้นี้มีอย่างน้อย 4 ผลิตภัณฑ์ได้แก่ 1.ไอสตีล พูล (iSteel Pool) สระว่ายน้ำสำเร็จรูป คุณภาพมาตรฐานเยอรมนีที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีทันสมัยให้คนไทยได้ใช้ในวงกว้าง ส่งเสริมการมีสระว่ายน้ำส่วนตัวในบ้านได้ง่ายขึ้นในราคาที่จับต้องได้ โดยจะเปิดเผยรายละเอียดในงานสถาปนิก’67 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567

    2.สโตน ไทร์ ไลเนอร์ (Stone Tile – 3D Liner Series) นวัตกรรมพื้นผิวสระว่ายน้ำที่เหนือกว่าวัสดุกระเบื้อง ออกแบบลวดลายผิวสัมผัสเสมือนหินแกรนิตธรรมชาติ ป้องกันการรั่วซึมที่เป็นปัญหาใหญ่ของสระทั่วไปได้100% ผิวเคลือบด้วยอะคริลิกเพิ่มการป้องกัน ทนต่อการขัดถู ต้านทานการลื่น ทนต่อแสงยูวี และการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ออกแบบขนาดลายกระเบื้อง 40 ซม. x 20 ซม. มี 3 โทนสีให้เลือกคือ Stone Tile Golden, Stone Tile Grey และ Stone Tile Elegance

    3.ระบบกรองฝาเรียบคอนกรีต เพื่อให้เครื่องกรองมีความเรียบเนียนกลมกลืนไปกับตัวสระว่ายน้ำ ดูแล้วมีความสวยงาม ชิ้นส่วนเครื่องของถังกรองเป็นชิ้นเดียวกัน ลดปัญหาการรั่วซึม การแตกและการเสื่อมสภาพของซิลิโคน

    4.ฝาเครื่องกรองแบบกำหนดเอง เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการตกแต่ง เพื่อให้เครื่องกรองมีความกลมกลืนไปกับระเบียงเพิ่มความสวยงามให้กับสระว่ายน้ำ มีวัสดุให้เลือกหลากหลายสามารถปรับเปลี่ยนได้ อาทิหินแกรนิต กระเบื้อง กลาสโมเสค และทรายล้าง.

    ‘Hons’ลุยคอลเลคชั่นสินค้าภายในห้องน้ำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Beyond Bathroom Solution พร้อมใช้นวัตกรรม และดีไซน์ที่หรูหราตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

    นายวุฒิรัฎฐ์ ลีนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีน่า พี.แอล. โฮม จำกัด ผู้ผลิตนวัตกรรมเรื่องบ้าน และผู้ผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำภายใต้แบรนด์ Hons เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าประเภทไฟฟ้าภายใต้ แบรนด์ NAGAS ซึ่งขายมายาวนานกว่า 10 ปี บวกกับประสบการณ์ด้านการขายผ่าน Modern Trade จึงวางแผนที่จะขยายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับบ้านไปในกลุ่มประเภทอื่นๆ เพิ่มขึ้น และจากการศึกษาข้อมูลทางการตลาดพบว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำ เป็นตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำทั้งหมดกว่า 250 รายการ ภายใต้แบรนด์ HONS โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา HONS ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก

    ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำ HONS เจาะกลุ่มลูกค้า Modern Trade ของ Home Pro รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าผู้รับเหมา ลูกค้าโครงการโรงแรม หมู่บ้าน เป็นต้น มีกลุ่มสินค้าสเตนเลส ทองเหลือง และซิงค์ โดยเน้นวัสดุเกรดคุณภาพ ทนทานต่อการใช้งาน อีกทั้งแบรนด์ยังคงคิดค้นเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนารูปแบบการใช้งานช่วยให้สะดวกสบายต่อการใช้งานอีกด้วย

    สำหรับผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำ HONS มีกลุ่มสินค้าทั้งหมด 11 กลุ่ม ได้แก่ 1. เรนชาวเวอร์ (Rain Shower),2.สไลด์บาร์ (Slide Bar), 3. ฝักบัวสายอ่อน (Shower Set), 4. สายฉีดชำระ (Rinsing Spray), 5. ก๊อกอ่างล้างหน้า-ล้างมือ (Faucet), 6. ก๊อกซิงค์ล้างจาน (Sink Faucet), 7. ก๊อกล้างพื้น (Wall Tap), 8. วาล์วฝักบัว (Shower Valve), 9. สต๊อปวาล์ว (Stop Valve), 10. อุปกรณ์ตกแต่ง (Accessories) และ 11. อุปกรณ์อะไหล่ (Spare Part) เรียกได้ว่ามีสินค้าครอบคลุมทุกการใช้งาน และความต้องการของลูกค้าครบวงจร

    “จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ HONS เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้ใจนั้นมีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกันนั่นก็คือ คุณภาพ และความคุ้มค่า โดยจะเลือกใช้วัสดุที่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและมีความคงทนแข็งแรง รวมถึงการผสมผสานนวัตกรรมเพื่อให้มีความสะดวกต่อผู้ใช้งาน มีดีไซน์ที่ทันสมัย ยกตัวอย่างเช่น วาล์วน้ำของ HONS ที่มีความนุ่มมือเปิดปิดง่าย ผ่านการทดสอบการเปิดปิดอย่างต่อเนื่อง กว่า 50,000 ครั้ง เรียกได้ว่านอกจากดีไซน์จะสวยแล้วยังมีความคงทนแข็งแรง ที่สำคัญราคาเป็นมิตรกับผู้บริโภคอีกด้วย”

    นายวุฒิรัฎฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ 1. กลุ่มก๊อกน้ำ ก๊อกซิงค์ล้างจาน เนื่องจากสินค้าของ HONS มีนวัตกรรมการใช้งานที่ตอบโจทย์ ใช้งานง่าย และวัสดุที่แข็งแรงทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ทั้งการดีไซน์การใช้งานต่างๆ อาทิ ก๊อกซิงค์เคาน์เตอร์ 2 หัว ที่สามารถใช้ร่วมกับซิงค์ล้างจานแบบ 2 หลุมได้อย่างลงตัว โดยที่ไม่ต้องโยกไปโยกมาเพื่อสลับกันใช้ รวมถึงมีก๊อกซิงค์เคาน์เตอร์ที่ใช้ระบบเซ็นเซอร์แบบสัมผัสที่ตัวก๊อกตรงจุดใดก็ได้เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานจริงอีกทั้งยังสามารถดึงสายออกมาใช้งานได้ถึง 45 ซม. และปรับเปลี่ยนสายน้ำได้ 2 รูปแบบ 2.กลุ่มฝักบัว เรนชาวเวอร์

    และ 3. กลุ่มสายฉีดชำระ โดยจุดเด่นสำคัญคือ มีฝักบัวสายอ่อนที่มีสายน้ำหลากหลายรูปแบบเลือกใช้งานได้สูงสุดถึง 5 ฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำแบบ Massage Spray ที่ใช้สำหรับนวดทำให้ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อในวันที่อ่อนล้า หรือรูปแบบสายน้ำ Light Rain ให้สายน้ำนุ่มเหมือนอยู่ท่ามกลางสายฝน

    นอกจากนี้ยังมีสินค้า Rain shower LED เมื่อเปิดน้ำจะมีแสง LED ที่หัว Rain shower และแสง LED จะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของน้ำโดยใช้ใบพัดในการควบคุมอุณหภูมิ ที่สำคัญคือปลอดภัยไม่ใช่ไฟฟ้า โดยผลิตจากวัสดุสแตนเลส 304 ที่มีความทนทานและเคลือบผิวด้วยโครเมี่ยมที่ทำให้วัสดุมีความเงางามเสมอ

    สำหรับแนวโน้มและทิศทางตลาดในปี 2567 นี้ นายวุฒิรัฎฐ์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นจะสินค้าเฉพาะกลุ่มให้มากขึ้น เพื่อตอบรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงเพิ่มช่องทางการขายในเมกะโฮมทุกสาขา ปัจจุบัน HONS ได้มีสินค้ามากขึ้นกว่า 250 รายการ ทั้งวางขาย SCHEMATIC และพื้นที่ Booth รวมไปถึงมีการพัฒนาเรื่องพื้นที่การขาย

    ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่เข้าไปในสาขา Modern Trade โดยเฉพาะโฮมโปร กว่า 80 สาขา อีกทั้งยังเจาะกลุ่มลูกค้าผู้รับเหมา ช่าง ด้วยการเพิ่มสินค้าที่สอดคล้องกับกลุ่มผู้รับเหมาและงานช่างโดยเข้าจำหน่ายที่เมกาโฮม กว่า 8 สาขา และมีแผนจะเพิ่มสาขาในเร็วๆ นี้

    ขณะเดียวกันมองว่าตลาดกลุ่มสินค้าภายในห้องน้ำขนาดใหญ่ หรือ Bathroom เติบโตต่อเนื่องในทุกปี รวมไปถึงมีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้การใช้งานสะดวกสบายมากขึ้น และปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้ ความเข้าใจในการเลือกซื้อสินค้า นอกจากจะต้องดูมีดีไซน์ทันสมัยแล้วจะต้องเลือกให้สอดคล้องกับการใช้งาน พร้อมทั้งยังคงนิยมเทรนด์ Customize personalization ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเอง

    โดยแบรนด์ HONS ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำให้มีสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดีไซน์ เทรนด์สีพิเศษๆ ที่นอกเหนือจากสีโครมเมี่ยมทั่วๆไป รวมไปถึงพวกเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีมากขึ้น สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น อาทิ ฝักบัวไส้กรองที่ช่วยกำจัดสิ่งสกปรก คราบตะกรัน หรือกลิ่นคลอรีนที่มากับน้ำ ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้น้ำได้ดียิ่งขึ้น

    ส่วนของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม เช่น เซนเซอร์ ทั้งก๊อกอ่างล้างหน้า และก๊อกซิงค์เคาน์เตอร์ ที่ใช้ระบบเซนเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยีการใช้งานที่สะดวกสบาย ใช้งานง่าย ลดการสัมผัสโดยตรง และเพิ่มสุขอนามัยที่ดี อีกทั้งยังใช้งานได้ 2 ระบบทั้งระบบต่อตรงเข้าไปไฟบ้าน 220V และ ถ่านอัลคาไลน์ ซึ่งไม่เพียงแต่ห้องน้ำสาธารณะเท่านั้นที่เลือกใช้ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มหันมาติดตั้งภายในบ้านมากขึ้น ด้วยเหตุผลสำคัญด้านความสะอาด และความทันสมัย จึงมองว่านี่เป็นเทรนด์สำคัญที่ทำให้ HONS ต้องขยายตลาดเพื่อรองการเติบโตต่อในอนาคต

    ล่าสุด HONS ได้เปิดตัว Collection Mountain Grey สินค้าใช้งานในห้องน้ำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Beyond Bathroom Solution ที่มีการออกแบบดีไซน์สินค้าเป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร โดดเด่นด้วยสีเทาที่ให้ความรู้สึกหรูหราและผ่อนคลายไปพร้อมๆ กัน โดยเราเทคโนโลยีชั้นสูงด้วย PVD Coating จึงทำให้สีมีความทนทานที่สูง ซึ่ง Collection Mountain Grey มีเฉพาะแบรนด์ HONS และมีขายที่โฮมโปรเท่านั้น

    สำหรับ Collection นี้มีสินค้าด้วยกันทั้งหมด 18 รายการ ที่จะรังสรรค์ห้องน้ำให้มีความเป็นเอกลักษณ์ ดูหรูหราทันสมัย โดยสินค้า Collection Mountain Grey จะมีสินค้าที่ประกอบไปด้วย Rain Shower Mixer (เรนชาวเวอร์ผสม) , Shower Set (ฝักบัวสายอ่อน) ,Rinsing Spray (สายฉีดชำระ) , Faucet Sink (ก๊อกซิงค์เคาน์เตอร์) , Faucet (ก๊อกอ่างล้างหน้า) , Stop Valve (สต๊อปวาล์ว) , Shower Valve (วาล์วฝักบัว) , Shower Mixer (ก๊อกผสมอ่างอาบน้ำ / ก๊อกผสมยืนอาบ) , Accessories (อุปกรณ์ตกแต่ง) อีกด้วย

    นอกจากนี้ HONS ยังได้เข้าร่วมแคมเปญ โฮมโปร แลกเก่าเพื่อโลกใหม่ ในกลุ่มสินค้าก๊อกน้ำและฝักบัว เพียงนำสินค้าที่สภาพไม่สมบูรณ์ และไม่จำเป็นต้องซื้อจากโฮมโปร มาแลกซื้อสินค้าใหม่กลับบ้าน พร้อมรับส่วนลดพิเศษสูงสุด 2,000 บาท ผ่อน 0% นานสูงสุด 3 เดือนกับบัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสดที่ร่วมรายการ ที่โฮมโปรและเมกาโฮมทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 นี้ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการรักษ์โลกกับโฮมโปร เพราะของเก่าที่ใช้แล้วเราจะนำไปจัดการอย่างถูกวิธีและยั่งยืน.

    fintips by ttb พาสำรวจ 7 อันดับหนี้ของคนไทยพร้อมแผนรับมือที่ทำตามได้จริง

    7 อันดับหนี้ของคนไทย มีหนี้อะไรบ้าง

    คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าเป็นหนี้บ้านหรือรถ แต่ความจริงแล้ว จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยประจำปี 2565 กลับพบว่า คนไทยเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมากที่สุด คิดเป็น 39% ของหนี้ทั้งหมดในครัวเรือนไทย รองลงมาคือหนี้บัตรเครดิต คิดเป็น 29% โดยจะสังเกตเห็นว่าหนี้ทั้งสองประเภทนี้มักเกิดจากค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวันมากกว่าการลงทุนหรือสร้างโอกาสทางการเงินในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีหนี้อันดับอื่น ๆ ของคนไทย ได้แก่

    • สินเชื่อส่วนบุคคล 39%

    • บัตรเครดิต 29%

    • การเกษตร 12%

    • รถยนต์ 10%

    • บ้าน 4%

    • ธุรกิจ 4%

    • มอเตอร์ไซค์ 2%

    วิธีการ “ พิชิตหนี้” เพื่อชีวิตการเงินที่ดีขึ้น

    1. จดรายการหนี้สิน เริ่มต้นจากการระบุรายการหนี้ที่มีทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง และใส่รายละเอียดเกี่ยวกับหนี้แต่ละรายการ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระต่อเดือน อัตราค่าปรับในกรณีชำระผิดนัด ยอดหนี้สุทธิ ระยะเวลาผ่อนชำระ และอื่น ๆ 

    2. วางแผนชำระหนี้อย่างเป็นระบบ โดยทั่วไปแล้ว ควรเริ่มชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เช่น หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลหรือหนี้นอกระบบ และเมื่อจ่ายหนี้ก้อนนี้เรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มชำระหนี้ก้อนเล็กที่สุดเป็นลำดับต่อมา จากนั้นนำเงินไปใช้ชำระหนี้ก้อนถัดไปที่เหลือน้อยที่สุด และให้ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 18 – 24 เดือน จึงจะเริ่มเห็นสภาพการเงินที่ดีขึ้น

    3. แบ่งเงินออมหรือเงินก้อนมาชำระหนี้ หากมีเงินออม อัตราดอกเบี้ยที่จะได้จากเงินออมมักอยู่ที่ราว 0.25% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออยู่ที่ 10-25% ดังนั้น การเลือกแบ่งเงินออมบางส่วนมาชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดก่อน จะช่วยลดภาระหนี้สินที่หนักให้เบาลงได้

    4. การรวบหนี้ (Debt Consolidation) คือ การนำหนี้จากหลาย ๆ ที่ มารวมไว้เป็นก้อนเดียว ไม่ว่าจะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อนำไปขอสินเชื่อกับธนาคาร โดยใช้ทรัพย์สินที่มี เช่น บ้าน หรือ รถยนต์ มาใช้ค้ำประกัน ซึ่งธนาคารจะนำเงินที่ได้ไปปิดหนี้ต่าง ๆ โดยที่ยังสามารถใช้บ้าน หรือ รถยนต์ ได้ตามปกติ ทำให้การรวบหนี้ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สามารถจ่ายหนี้ได้ง่ายขึ้น และช่วยลดภาระการจ่ายหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ๆ รวมทั้งยังเหมาะกับคนที่มีหนี้หลายก้อน เพราะการรวบหนี้จะช่วยให้จ่ายเงินค่างวดต่อเดือนลดลง และมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น

    ดังนั้น หากเรารู้จักวิธีวางแผนอย่างเป็นระบบและใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง การ “พิชิตหนี้” เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงอย่างแน่นอน 

    มาร่วมออกแบบชีวิตทางการเงินในวันนี้และในอนาคต เพื่อพิชิตเป้าหมายการมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ด้วยเคล็ดลับทางการเงินดี ๆ ได้ที่ “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ 

    เพียงคลิก https://www.ttbbank.com/th/fintips-096

    หรืออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/fintips-howto-debts-pr

    ค้นหาตัวช่วยพิชิตหนี้ได้ ที่ https://www.ttbbank.com/phi-chit-nee-fintips-pr

    กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

    เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารฯ กำหนด

    อสังหาฯไม่รอเฟด! ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ฯ ประกาศลดดอกเบี้ย 1% นาน 3 ปี ทุกโครงการ ทุกทำเล ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ

    นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสู่การเป็น National Property Company ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการแบบกระจายทำเลเพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคเป็นสำคัญ ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระผู้บริโภคโดยไม่ต้องรอมาตรการลดดอกเบี้ยของภาครัฐ บริษัทฯ จึงขอคืนกำไรแก่ลูกค้าด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% นาน 3 ปี พร้อมลุ้นรับ Samsung Galaxy S24 Plus เพื่อให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งแคมเปญลดดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ จะมอบให้เฉพาะในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 45 เท่านั้น

    “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ต้องการช่วยให้ผู้ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อบ้านมีทางเลือกที่คุ้มค่ายิ่งขึ้นด้วยแคมเปญลดดอกเบี้ยที่เราตั้งใจมอบให้ในครั้งนี้ เมื่อนำมาใช้ควบคู่กับการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมจำนองของภาครัฐ สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทที่จะสิ้นสุดในปลายปีนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแห่งปีของการซื้อบ้านโดยเฉพาะกลุ่ม real demand ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักของเรา”

    ทั้งนี้ ในส่วนของสถานะทางการเงิน ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรม โดยอยู่ที่ 1.45 เท่าค่อนข้างมาก จึงเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี “กว่า 30 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นต่อบริษัทฯ มาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เพียงแค่ราคาที่คุ้มค่าและทำเลคุณภาพที่เราตั้งใจคัดสรรให้ลูกค้าเท่านั้น แต่บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ด้วยการร่วมมือกับ Partner ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำในการยกระดับคุณภาพชีวิต เติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วย” นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กล่าวเสริม

    ปัจจุบัน ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มีโครงการที่อยู่ระหว่างขายครอบคลุมทุกทำเล ได้แก่ โครงการทางตอนเหนือของ กทม. โซนรังสิต ลำลูกกา คลองหลวง และ รามอินทรา วัชรพล สายไหม โครงการทางตอนใต้ของ กทม. โซนบางแค เพชรเกษม พุทธมณฑลสาย4 และ ประชาอุทิศ สุขสวัสดิ์ พระราม 2 เอกชัย โครงการทางฝั่งตะวันตกของ กทม. โซนปิ่นเกล้า รัตนาธิเบศร์ พระราม 5 บางใหญ่ และโครงการทางฝั่งตะวันออกของ กทม. โซนบางนา เทพารักษ์ อ่อนนุช ลาดกระบัง ฉลองกรุง ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านแนวคิดใหม่จากแบรนด์ต่างๆ ของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ทุกโครงการ ทุกทำเล ทุกราคา ตั้งแต่ 2-10 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ไลโอ, แลนซีโอ, บ้านลลิล และลลิล กรีนวิลล์ ที่พัฒนาขึ้นภายใต้มาตรฐาน Green Living Standard ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสังคมคุณภาพอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Function ของตัวบ้านเพื่อให้รองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว.

    ระทึก!ตลาดหลักทรัพย์ฯเตือนระมัดระวังลงทุน’กองอสังหาฯเออร์บานา’หวั่นค่าเช่ามีปัญหาหลังสำนักงานทรัพย์สินฯจ่อเลิกสัญญา

    ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกประกาศเตือนผู้ลงทุนศึกษา เนื่องจากมีข้อมูลสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนหรือตัดสินใจใช้สิทธิ์ใช้เสียงในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท

    ทั้งนี้ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูล URBNPF ด้วยความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุนกรณีกองทุนอาจมีเหตุถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่าและเลิกกองทุนรวม

    ตามที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เออร์บานา (URBNPF หรือกองทุน) แจ้งการอาจถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่า จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ผู้ให้เช่า) ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเลิกกองทุน เนื่องจากกองทุนรวมได้รับหนังสือแจ้งยุติการชำระค่าเช่าจากบริษัทเออร์บานาเอสเตท จำกัด (ผู้เช่าช่วง) ซึ่งอาจส่งผลให้กองทุนไม่สามารถชำระค่าเช่าให้กับผู้ให้เช่าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด คือวันที่ 31 มีนาคม 2567 และอาจถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่า ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเลิกกองทุน

    โดย ณ วันที่กองทุนรวมถูกบอกเลิกสัญญาเช่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนจะเท่ากับศูนย์ (รายละเอียดปรากฏตามข่าว URBNPF วันที่ 15 มีนาคม 2567)

    ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ URBNPF และศึกษาข้อมูลของ URBNPF รวมถึงติดตามการชำระค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าในวันที่ 31 มีนาคม 2567 อย่างใกล้ชิดต่อไป

    สำหรับผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เออร์บานา หรือ URBNPF พบว่า
    ปี 2562 รายได้ 54.63 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 38 ล้านบาท
    ปี 2563 รายได้ 39.36 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 68 ล้านบาท
    ปี 2564 รายได้ 38.47 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3.8 ล้านบาท
    ปี 2565 รายได้ 26.51 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 36.5 ล้านบาท
    ปี 2566 รายได้ 29.88 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 9.6 ล้านบาท