มีบ้านต้อนรับสงกรานต์กับ ธอส.!! ในงานประมูลขายบ้านมือสอง พบทรัพย์เด่นกว่า 5,000 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 45% On top อีก 5%

นายศักดิ์สิทธิ์ จิตตนูนท์ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานปรับโครงสร้างหนี้ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสาขา และรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบังคับคดี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนคนไทยให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในระดับราคาที่คุ้มค่า และทำเลที่เหมาะสมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ธอส. สามารถจำหน่ายบ้านมือสองในทุกช่องทางได้มากกว่า 4,200 ล้านบาท สะท้อนถึงการจัดโปรโมชันสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ พร้อมส่วนลด และสิทธิพิเศษในการประมูลมากมาย ดังนั้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ในการทำให้คนไทยมีบ้าน ธอส. จึงได้จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง ธอส. ประจำปี ครั้งที่ 1/2567 ในวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 พร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 10.00 – 16.00 น. โดยคัดบ้านมือสอง คุณภาพดี ทำเลเด่นทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 5,000 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า มาเปิดประมูลในราคาพิเศษ ด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 45% จากราคาประเมิน แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,219 รายการ

ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 80,000 บาท ได้แก่ ทรัพย์ประเภทห้องชุด ขนาดเนื้อที่ 22.75 ตร.ม. ในโครงการโกลเด้นท์คอนโดทาวน์ รังสิต 1 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

ขณะที่ทรัพย์เด่นราคาดีที่น่าสนใจ ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 153.8 ตร.ว. ในโครงการลัดดารมย์ – ปิ่นเกล้า ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 7.95 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมหลัก และมีแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สวนสาธารณะ โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้า ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคนำออกประมูลมากกว่า 5,000 ราย การ โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 55,000 บาท เท่านั้น ได้แก่

ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า ขนาดเนื้อที่ 100 ตร.ว. ในโครงการราชพฤกษ์การ์เด้นโฮมอ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา

ขณะที่ทรัพย์เด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 52 ตร.ว. ในโครงการเพชรพฤกษา อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 1.775 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวทำเลดี อยู่ติดกับถนนใหญ่ เดินทางได้อย่างคล่องตัว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนมาก

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลบ้านมือสอง ธอส. สามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อร่วมประมูลได้ทาง
https://crm.ghbank.co.th/survey/bitnpa ตั้งแต่วันนี้ – 18 เมษายน 2567 โดยในวันประมูล ผู้ชนะการประมูลจะต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ 10,000 บาททุกรายการ ยกเว้นทรัพย์ที่มีราคาประมูลตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป

วางเงินประกันซื้อทรัพย์ 100,000 บาท ทำสัญญาจะซื้อจะขายตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน – 7 พฤษภาคม 2567
นอกจากนี้ โปรโมชันพิเศษ !! สำหรับผู้ซื้อและทำนิติกรรมภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2567 จะได้รับส่วนลด On Top 5% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)

ttb analytics คาดการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและวันหยุดพิเศษปี67 ทำเงินสะพัดช่วงสงกรานต์กว่า 4.2 หมื่นลบ. พุ่งสูงกว่า 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดเม็ดเงินสะพัดช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทะยานแตะ 4.2 หมื่นล้านบาท จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และวันหยุดพิเศษที่ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว แนะภาครัฐส่งเสริมต่อยอดและวางแผนการกำหนดวันหยุดให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างเม็ดเงินให้สะพัดในภาคการท่องเที่ยวไทย 

เทศกาลสงกรานต์เป็นวันหยุดประจำปีของไทยที่เป็นโอกาสสำคัญในการกลับภูมิลำเนาเพื่อพักผ่อนใช้เวลากับครอบครัว เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวที่ตรงตามเทศกาลอย่างน้อย 3 วัน และเมื่อรวมกับวันหยุดสุดสัปดาห์รวมถึงวันหยุดพิเศษตามประกาศของภาครัฐ ย่อมทำให้วันหยุดรวมมีระยะเวลานานเพียงพอที่จะทำให้ผู้จากถิ่นฐานหรือภูมิลำเนาที่เดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครปริมณฑล และภาคตะวันออก สามารถกลับไปพักผ่อนใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลได้

นอกจากนี้ด้วยวันหยุดที่มีระยะเวลานานย่อมส่งผลดีต่อกลุ่มที่มีแหล่งงานในภูมิลำเนาตนเอง หรือกลุ่มที่ไม่ตัดสินใจเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ต่างจังหวัด โดยเลือกที่จะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อเดินทางท่องเที่ยวแบบไม่เหนื่อยจนเกินไปจากจำนวนวันหยุดที่ยาวนานและยังเหลือวันหยุดเพื่อพักผ่อนหลังเดินทางท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม เทศกาลสงกรานต์ในปี 2567 นับเป็นปีที่วันหยุดค่อนข้างเอื้ออำนวยให้กับภาคการท่องเที่ยวสำหรับประชาชนบางกลุ่มที่สามารถลางานในช่วงวันที่ 9-11 เมษายน ได้ นับว่าเทศกาลนี้จะลากยาวถึง 11 วัน เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ก่อนเทศกาลก่อนสงกรานต์  มีวันหยุดชดเชยวันจักรีในวันจันทร์ที่ 8 เมษายน และ วันหยุดพิเศษตามประกาศของรัฐบาลในวันศุกร์ที่ 12 เมษายน และแม้แต่ในส่วนกลุ่มที่ไม่สามารถลางานในสัปดาห์ก่อนวันสงกรานต์ วันหยุดยาวก็ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ช่วงวันที่ 6-8 เมษายน และวันที่ 12-16 เมษายน ซึ่งก็นับเป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและเม็ดเงินที่คาดว่าจะสะพัดเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

นักท่องเที่ยวชาวไทย ในเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่มักเดินทางกลับภูมิลำเนาจากแหล่งงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ EEC รายจ่ายในส่วนของการเดินทางกลับภูมิลำเนาไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากรายจ่ายปกติ แต่อาจเพิ่มขึ้นในส่วนของการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวของกลุ่มที่ไม่ได้กลับภูมิลำเนา หรือกลุ่มที่กลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยวไปในภูมิภาคที่ใกล้เคียงกับครอบครัว ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในพื้นที่ภูมิภาคไม่นับกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีรายจ่ายในบางรายการสูงขึ้น เช่น รายจ่ายค่าเดินทางโดยเฉลี่ยต่อคนต่อวันปรับเพิ่มขึ้น 6.9% รายจ่ายเกี่ยวกับอาหารและซื้อสินค้าที่คาดว่าจะปรับตัวจากรูปแบบวิถีชีวิตของชาวไทยที่เมื่อมีการรวมกลุ่ม คาดปรับเพิ่มขึ้น 12.9% ในขณะที่เม็ดเงินค่าใช้จ่ายในภาคโรงแรมโดยเฉลี่ยปรับเพิ่มเพียง 2.7% เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลที่คนส่วนหนึ่งกลับภูมิลำเนาจึงพักอาศัยที่บ้านเกิดของตนแต่อาจได้รับอานิสงส์จากกลุ่มที่ตั้งใจเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภาคตะวันออก และจังหวัดติดทะเลใกล้กรุงเทพฯ โดยจากรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรกของปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวที่ได้รับแรงหนุนจากช่วงวันหยุดยาว Golden Week ของชาวจีน และ เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวยุโรปหนีความหนาวมาพักพิงในภูมิภาคที่มีความอบอุ่น ส่งผลให้ในเดือนเมษายนนี้ แม้จะมีแรงส่งจากเทศกาลสงกรานต์ก็เชื่อว่ายังไม่สามารถชดเชยส่วนต่างที่หายไปจากฤดูท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสแรกของปี แต่จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวด้านจำนวนคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายนปี 2567 จะมีจำนวนราว 3 ล้านคน เพิ่มขึ้นเทียบกับปีก่อนหน้ากว่า 42% (เดือนเมษายน 2566 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวน 2.18 ล้านคน) ซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำหรับการท่องเที่ยวไทย โดยเม็ดเงินที่สะพัดช่วงเทศกาลสงกรานต์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดอยู่ที่ 24,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อรวมเม็ดเงินจากทั้งกลุ่มคนไทยและต่างชาติ พบเม็ดเงินที่สะพัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉพาะวันที่ 12-16 เมษายน คาดว่าจะแตะ 41,500 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงปี 2566 ที่เม็ดเงินสะพัดช่วงสงกรานต์ราว 26,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 55% ด้วยสาเหตุหลักซึ่งประกอบด้วย เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ช่วงวันหยุดสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ดีกว่าปีก่อนที่เทศกาลมีวันหยุดเพียง 4 วัน

นอกจากนี้ในปี 2567 เมื่อพิจารณาในระยะเวลาช่วงวันหยุดยาวสัปดาห์ก่อนสงกรานต์ซึ่งนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเริ่มจับจ่ายตั้งแต่ช่วงวันที่ 6 เมษายน ลากยาวจนเดินทางกลับมาทำงานหลังสงกรานต์ ก็คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินเพิ่มเติมราว 25,800 – 37,400  ล้านบาท เมื่อรวม 2 ช่วงวันหยุดคิดเป็นเงินสะพัดถึง 67,300 – 78,900 ล้านบาท จึงเป็นเครื่องสะท้อนถึงการกำหนดวันหยุดพิเศษต่าง ๆ ที่ควรจะสอดคล้องและเอื้ออำนวยกับภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากแม้จำนวนวันหยุดที่เท่ากันแต่ช่วงเวลาที่ต่างกันย่อมส่งผลต่อเม็ดเงินให้สะพัดเพิ่มมากขึ้นในภาคท่องเที่ยวไทย

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 นี้ เงินสะพัดอาจจะปรับเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าตัวเลขข้างต้น  โดย ttb analytics มองภาครัฐยังสามารถต่อยอดนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ได้เพิ่มเติม เช่น รายจ่ายค่าที่พัก และอาหาร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์สามารถนำมาลดหย่อนภาษี หรือขอความร่วมมือผู้ประกอบการทำโปรโมชันกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อเป็นแรงดึงดูดให้คนไทยที่มีความต้องการเดินทางไปต่างประเทศช่วงสงกรานต์รู้สึกคุ้มค่าเพียงพอในการเลื่อนการเดินทางต่างประเทศออกไปในช่วงเวลาอื่นที่มีวันหยุดยาว เช่น เดือนพฤษภาคม หรือ กรกฎาคม และใช้ช่วงเวลาเทศกาลสงกรานต์เพื่อสร้างเม็ดเงินให้สะพัดในภาคการท่องเที่ยวไทยให้มากขึ้นในปีถัด ๆ ไป

ทีทีบี สำรองธนบัตร 13,500 ล้าน รองรับใช้เงินช่วงเทศกาลสงกรานต์ 

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เตรียมความพร้อมสำรองธนบัตรให้บริการผ่านเอทีเอ็มและสาขาของธนาคารทั่วประเทศ จำนวน 13,500 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการใช้เงินสดช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 โดยแบ่งธนบัตรสำรองเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม จำนวน 9,000 ล้านบาท และช่องทางสาขา จำนวน 4,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวก และเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ให้กับลูกค้าและประชาชนทั่วไป โดยปัจจุบันทีทีบีมีสาขาทั่วประเทศ จำนวน 532 สาขา และเครื่องเอทีเอ็ม จำนวน 3,015 เครื่องทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2566).