ไทวัสดุ เปิดสาขาใหม่ที่ 80 “ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ” เติมความครบครันงานก่อสร้าง – ตกแต่งบ้านแห่งที่ 2 ให้เมืองอุดรฯ อีสานเหนือ ปลุกตลาดอสังหาฯ ด้วย “White Format” ตอบโจทย์ทุกกำลังซื้อ

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เผยว่า  ไทวัสดุ ได้วางกลยุทธ์และตั้งเป้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ทำการเปิดสาขาแรกของปีคือ ‘ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ’ ซึ่งเป็นสาขาที่ 80 ในรูปแบบ White Format และเป็นสาขาที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานี โดยมีไทวัสดุ สาขาแรกตั้งอยู่ที่ตำบลหนองขอนกว้าง อำเภอเมืองอุดรธานี ด้วยงบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท ภายในสโตร์ได้รวบรวมสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์งานช่าง และสินค้าตกแต่งบ้านแบรนด์ดัง คุณภาพดี ราคาคุ้มค่ากว่า 40,000 รายการ  โดยการเปิด ‘ไทวัสดุ สาขาอุดรธานี กุดสระ’ นั้นเพื่อยกระดับ ‘ประสบการณ์ใหม่ เรื่องบ้านไม่มีที่สิ้นสุด’ 

  • ตอบโจทย์ด้วย White Format ทุกงานช่างและเรื่องบ้าน – ‘ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ’ ได้ผนึกความแข็งแกร่งของทั้ง 2 แบรนด์คือ ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม นำเสนอโมเดล White Format (รูปแบบไฮบริด) ที่ผสมผสานระหว่างงานช่างและเรื่องบ้านได้อย่างครบครันและสะดวกสบายในพื้นที่เดียว ตอบโจทย์ทุกความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์งานช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าตกแต่งบ้าน ที่มีดีไซน์และนวัตกรรม สร้างไลฟ์สไตล์เพื่อให้บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้น กับไลน์สินค้ากว่า 40,000 รายการ ที่มีความครบทั้งความหลากหลาย ครบทั้งการให้บริการจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญเรื่องบ้านช่างมือ 1 จากทีม vFIX ที่พร้อมให้คำปรึกษา บริการซ่อมแซม ปรับปรุง ต่อเติม ตกแต่ง หรือติดตั้ง ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์บริการที่ครบครันและสะดวกสบายมากที่สุด
  • ตอบโจทย์กระตุ้นเศรษฐกิจ – จังหวัดอุดรธานีเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ศักยภาพสูงในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคเกษตรกรรม การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 จังหวัดอุดรธานี มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) 120,000 ล้านบาท หรือเป็นอันดับที่ 4 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งการขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัดอุดรธานี (พ.ศ.2566-2570) ที่ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดอุดรธานีให้เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยวและไมซ์ในลุ่มน้ำโขง ซึ่งไทวัสดุ สาขาอุดรธานี กุดสระ และสาขาอื่นๆทั่วภาคอีสาน จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งคาดว่า การขยายสาขาใหม่นี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานแก่คนในพื้นที่ได้ถึง 300 อัตรา
  • ตอบโจทย์ทุกการเข้าถึง – ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ ตั้งอยู่บนโลเคชั่นศักยภาพสูง บนถนนมิตรภาพ ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงจังหวัดต่างๆในภาคอีสาน สะดวกต่อการเดินทางและสามารถสัญจรเชื่อมถึงชายแดนเวียงจันทร์ (จังหวัดหนองคาย) ระยะทางประมาณ 47 กิโลเมตร ถึงด่านชายแดนได้สะดวก โดยไทวัสดุ สาขาใหม่นี้จะสามารถรองรับดีมานด์กำลังซื้อของลูกค้าจากในพื้นที่กว่า 200,000 ครัวเรือน ทั้งจากตัวเมืองอุดรธานี และอำเภอโดยรอบ เช่น อ.บ้านผือ, อ.เพ็ญ,
    อ.กุดจับ, อ.พิบูลย์รักษ์ รวมถึงการมีทำเลติดกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถที่จะดึงกำลังซื้อจาก ผู้ใช้บริการจากประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น

“ไทวัสดุ เล็งเห็นถึงศักยภาพในทุกๆด้านของจังหวัดอุดรธานี จึงเดินหน้าเปิด ‘ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ’ ให้เป็นอีกหนึ่งสโตร์ที่ช่วยเสริมทัพแข็งแกร่งกับไทวัสดุสาขาอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเชื่อมั่นว่าสาขานี้จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชากรในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง รวมถึงลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน  นอกจากนี้ ไทวัสดุ ยังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจให้ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การเปิดพื้นที่ฟรีในไทวัสดุ เพื่อสนับสนุนชุมชนให้มีช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น การนำรถบรรทุกไฟฟ้าพลังงานสะอาด หรือ อีวีทรัค (EV Truck) เพื่อลดการใช้พลังงานดีเซลในระบบขนส่งกระจายสินค้าทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ไทวัสดุ ตระหนักถึงความสำคัญด้านสาธารณสุขของคนในชุมชนตำบลกุดสระ จึงได้ร่วมกับผู้ร่วมค้าในการให้การสนับสนุนสมทบทุนบริจาคแก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกุดสระ เพื่อช่วยเสริมศักยภาพทางการแพทย์ให้ชุมชนในพื้นที่ได้รับบริการสุขภาพที่ดีขึ้น” นายสุทธิสาร กล่าว

ศุภาลัย ผนึก ทีโอเอ ปั้นนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียวผุดโปรเจกต์ยักษ์ ‘ฝ้ายิปซัม & สีรักษ์โลก’เดินหน้าสู่องค์กร Zero Waste อย่างยั่งยืน

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้มีความยั่งยืน ตามแนวคิด ESG โดยมีส่วนร่วมใส่ใจดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่บริษัทฯ เน้นย้ำมาโดยตลอดระยะเวลา 35 ปี โดยมีการตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2573 จาก BAU (Business As Usual) พร้อมตระหนักถึงการคิดค้น หาวิธีการและนวัตกรรมที่จะมาช่วยชดเชยปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดจากกิจกรรมของธุรกิจอสังหาฯ

ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายนวัตกรรม ที่ถูกพัฒนาต่อยอดจนเป็นโปรดักส์ใหม่ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล ถูกนำมาใช้ภายในโครงการที่อยู่อาศัยของศุภาลัย พร้อมการันตีคุณภาพการก่อสร้าง สร้างความเชื่อมั่น และส่งต่อแนวความคิดด้านสิ่งแวดล้อม สร้างการเรียนรู้ให้กับลูกบ้านศุภาลัยทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน การอยู่อาศัยแบบรักษ์โลก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมแบ่งปันนวัตกรรมที่ร่วมสร้างสรรค์กับพันธมิตรธุรกิจส่งต่อสู่สาธารณะ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนพันธกิจ Zero Waste ระดับประเทศ

นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ศุภาลัยมุ่งมั่นให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในวิธีการ คือการพูดคุยอย่างจริงใจกับพันธมิตรธุรกิจ เสนอความคิดเห็นและความต้องการ หาแนวร่วมเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียวร่วมกัน โดยการคิดค้น-ออกแบบวัสดุ และผลักดันแนวคิด Waste Management ในกระบวนการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะพันธมิตรที่สำคัญอย่างทีโอเอ ที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกันจนทำให้เกิดโปรเจกต์ยักษ์ “ฝ้ายิปซัม รักษ์โลก” นำร่อง 2 โครงการคอนโดมิเนียม โดยการนำเศษฝ้าที่เหลือใช้จากงานก่อสร้างหน้างาน นำมาผ่านกระบวนการใหม่ที่ได้คุณภาพมาตรฐานดีเหมือนเดิม และยังช่วยลดวัสดุเหลือใช้ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนวัตกรรม “สีรักษ์โลก รุ่น Expert” ที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการลดการใช้สีรองพื้น สำหรับโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมของศุภาลัย โดยทั้งสองนวัตกรรมดังกล่าว สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 332,179 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ชดเชยการปลูกต้นสักได้ถึง 19,313 ต้น ภายใน 1 ปี ลดการใช้น้ำได้ถึง 98,347 ลิตรต่อปี ตลอดจนยังมีการตั้งเป้าหมายใช้นวัตกรรมฝ้ายิปซัม รักษ์โลก อีก 23 โครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม ภายในปี 2567

ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการร่วมกันพัฒนานวัตกรรมสีรองพื้นและสีทับหน้ารูปแบบใหม่ Direct to Metal ช่วยลดระยะเวลาในการทำงานสีรวมได้กว่า 10 ชั่วโมง จากรอบการทาและรอบรอสีแห้งที่ลดลง เมื่อเทียบกับสีรูปแบบเดิมโดยยังคงประสิทธิภาพสีเท่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมในการก่อสร้างที่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจอีกมากมาย ร่วมกันสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยรักษ์โลก เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมตลอดไป

ด้าน นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับ ทีโอเอ ในฐานะผู้นำตลาดและภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตสีในประเทศไทยและอาเซียน โดยตลอดระยะเวลา 60 ปี เรามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัยของผู้บริโภคและใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง เราจึงเป็นผู้ผลิตสีรายแรกในประเทศไทย ที่ยกเลิกการใช้สารโลหะหนัก ปรอท ตะกั่ว ในสีทาอาคารได้สำเร็จ ตั้งแต่ปี 2520 รวมทั้งไม่หยุดพัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมสีที่ปลอดภัย ใส่ใจต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่มุ่งพัฒนาสู่การเป็นองค์กรยั่งยืน (SDGs) ตามแนวทาง ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จึงได้ประกาศนโยบาย Green Mission เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2593 ตามโรดแมปอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งหนึ่งพันธกิจหลักที่เราทำอย่างต่อเนื่อง คือ การร่วมมือกับพันธมิตรภาคธุรกิจที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อโลกอย่างยั่งยืน หรือ Green Partner ในการสร้างสรรค์ พัฒนานวัตกรรมสีเขียวที่ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการคิดค้นโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์คู่ค้าและผู้บริโภค ที่จะช่วยลดผลกระทบทางลบให้กับโลก ใส่ใจต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน และยกระดับที่อยู่อาศัย เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับทุกคน (Better Health & Wellness)

ล่าสุดเราจึงได้จับมือกับพันธมิตรองค์กรสีเขียวอย่าง “ศุภาลัย” ที่มีนโยบายสู่การเป็นองค์กร Zero Waste เช่นเดียวกับเรา ที่ให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการของเสียให้เป็นศูนย์ เพื่อช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผลักดันจนเกิดเป็นบิ๊กโปรเจกต์ “ฝ้ายิปซัม รักษ์โลก” ที่มีแนวคิดมาจากการพยายามลดเศษวัสดุฝ้าเหลือใช้ที่จะกลายเป็นของเสียในโครงการก่อสร้างต่างๆ แล้วนำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยได้เริ่มนำร่องไปแล้วกับ 2 โครงการคอนโดมิเนียม ‘ศุภาลัย ลอฟท์ สถานีภาษีเจริญและซิตี้โฮม สนามบินน้ำ-รัตนาธิเบศร์’ ที่สามารถนำเศษวัสดุฝ้าจากหน้างานมาเข้ากระบวนการใหม่ได้ถึง 13.26% ทำให้ช่วยลดของเสียได้กว่า 10% และช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 2.50 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อตารางเมตร

นอกจากนี้ ศุภาลัยยังได้ใช้นวัตกรรม “สีรักษ์โลก รุ่น Expert” ซึ่งเป็นนวัตกรรมสีทับหน้ารวมรองพื้นไว้ในกระป๋องเดียว สามารถทาง่ายเพียง 2 เที่ยว ไม่ต้องทารองพื้น ช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอนการทำงานให้กับผู้ใช้งาน ที่สำคัญยังช่วยประหยัดการใช้น้ำได้อย่างมาก อาทิ การทาสี รุ่น Expert ในพื้นที่บ้านเดี่ยว 150 ตร.ม. ที่มีพื้นที่ฝ้า 450 ตร.ม. จะช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 78.70 ลิตรต่อหลัง และหากเทียบกับสีระบบเดิมที่ศุภาลัยใช้ จะช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 98,347 ลิตรต่อปี อีกทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ทาสีรองพื้นได้ถึง 2,297 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งพันธกิจของสองพันธมิตรผู้นำนวัตกรรมสีเขียวที่มีเป้าหมายเดียวกัน ในการคิดและลงมือทำร่วมกัน เพื่อช่วยโลกลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างยั่งยืน

#ศุภาลัยสร้างดี สร้างที่อยู่อาศัยสีเขียว ร่วมกับ TOA สู่การเป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยชั้นนำ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน พร้อมส่งมอบ “ที่อยู่อาศัยรักษ์โลก” ที่ได้คุณภาพมาตรฐานระดับสากลให้กับลูกบ้านศุภาลัยทั่วประเทศ.