‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ส่งโปรฯใหม่ “SUMMER HOT DEALS”ร้อนแรงรับซัมเมอร์ ลดเป็นล้าน! กับ 4 โครงการลักชัวรี่

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัวโปรโมชั่นใหม่ต้อนรับซัมเมอร์กับ 4 โครงการลักชัวรี่ทำเลทองทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา ผ่านแคมเปญ ‘SUMMER HOT DEALS’ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท* ฟรี! ทองคำแท่ง 1 บาท และ VOUCHER ที่พักโรงแรมสุดหรูแบรนด์ X2* (ครอสทู) วันนี้ถึง 30 เม.ย. 64

บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เสิร์ฟโปรโมชั่นร้อนแรงแห่งปี ต้อนรับซัมเมอร์ ‘Summer Hot Deals’ กับ 4 โครงการคอนโดลักชัวรี่แต่งครบ เพื่อการลงทุนและการอยู่อาศัย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตเหนือระดับ ครบครันด้วยฟังก์ชั่น ดีไซน์อันทันสมัย บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ได้แก่ โครงการ วาลเด้น อโศก (Walden Asoke), โครงการวาลเด้น สุขุมวิท 39 (Walden Sukhumvit 39), โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) และโครงการเพื่อการลงทุนใจกลางพัทยาเหนือ อย่าง โครงการ รามาด้า มิร่า นอร์ท พัทยา (Ramada Mira North Pattaya)

โดยมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าหลากหลายรายการ สำหรับคอนโดโลว์ไรส์ลักชัวรี่ภายใต้แบรนด์ “วาลเด้น” (Walden) ทั้ง 3 โครงการ ซึ่งบริหารโดยแจลุกซ์ (JALUX) ในเครือ JAPAN AIRLINES ที่มีประสบการณ์ด้านการดูแลโครงการที่อยู่อาศัยยาวนานกว่า 30 ปี บริการมาตรฐานโรงแรม 5 ดาว พร้อมมอบความสะดวกสบายให้ผู้อยู่อาศัย รวมถึงนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าอย่าง โครงการ วาลเด้น อโศก และโครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 ราคาเริ่มต้นเพียง 5.9 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่จอง และชำระเงินทำสัญญาซื้อ-ขาย มอบส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท* รับฟรี! ทองคำแท่ง 1 บาท พร้อม VOUCHER ที่พักโรงแรมสุดหรูแบรนด์ X2* (ครอสทู) และโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 ราคาเริ่มต้น 8.9 ล้านบาท* สำหรับลูกค้าที่จองภายในวันนี้ และชำระเงินทำสัญญาซื้อ-ขาย มอบส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท* ฟรี! ทองคำแท่ง 1 บาท พร้อม VOUCHER ที่พักโรงแรมสุดหรูแบรนด์ X2* (ครอสทู)

สำหรับโครงการ รามาด้า มิร่า นอร์ท พัทยา คอนโดใหม่สไตล์รีสอร์ทเพื่อการลงทุน ใจกลางพัทยาเหนือ บริหารโดย WYNDHAM เชนโรงแรมระดับโลก ตอกย้ำความมั่นใจให้กับนักลงทุน การันตีผลตอบแทน 6% นาน 3 ปี* และสิทธิ์เข้าพักฟรี 14 วัน ต่อปี* ในราคาเริ่มต้น 4.33 ล้านบาท* สำหรับลูกค้าที่จอง และชำระเงินทำสัญญาซื้อ-ขาย รับฟรี! ทองคำแท่ง 1 บาท พร้อม VOUCHER ที่พักโรงแรมสุดหรูแบรนด์ X2* (ครอสทู) ซึ่งแคมเปญดังกล่าว ยังถือเป็นแคมเปญครั้งใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาฯและเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ

ข้อเสนอสุดพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2564 นี้เท่านั้น (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด)​

ปี63หน่วยโอนต่างชาติลดฮวบ-35.3% มูลค่าหดเหลือ 3.7หมื่นล.”ชาวจีน”กำลังซื้อหลัก ทำเลกรุงเทพฯยอดฮิต

ศูนย์ข้อมูลฯ ระบุยอดโอนฯสะสมห้องชุดคนต่างชาติช่วง 3 ปี (2561-63) มูลค่ากว่า 115,177 ลบ. ดูดซับพลายคอนโดฯไปแล้ว 34,651 หน่วย เผยโควิด-19 กระทบโควต้าต่างชาติ ปี 63 หน่วยโอนฯห้องชุดลดฮวบ -35.5% มูลค่า -25.5% แต่ก็พอมีสัญญาณบวกหลังโควิดคลี่คลาย เผย ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ เบนเข็มเจาะกำลังซื้อคนไทยชดเชยดีมานด์ต่างชาติ “ชาวจีน”มาแรงอันดับหนึ่ง กำลังซื้อหลักโอนฯสูงสุด จับตา!เปิดประเทศ หนุนอสังหาฯคึกคัก

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ทั่วประเทศ ระบุในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) ตลาดอาคารชุดที่ขายให้กับคนต่างชาติ มีมูลค่ากว่า 115,177 ล้านบาท มีจำนวน 34,651 หน่วย สำหรับในปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดอาคารชุดที่ขายให้กับคนต่างชาติ เนื่องจากได้มีการล็อกดาวน์การเดินทางเข้า-ออกประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นช่วงที่มีการเคลื่อนไหวในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพียง 1,162 หน่วย โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -61.1 และมีมูลค่าลดลงเหลือ 5,073 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 11,108 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -54.3

ต่อมา ในไตรมาสที่ 3-4 สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากความพยายามแก้ปัญหาของผู้ประกอบการ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติ สามารถทำการรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่สร้างเสร็จพร้อมโอนได้ โดยเพิ่มเป็น 1,885 หน่วย มูลค่ารวม 9,381 ล้านบาทในไตรมาส 3 และจำนวน 2,592 หน่วย มูลค่ารวม 12,730 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้าย ส่งผลให้ทั้งปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 8,285 หน่วย (12,798 หน่วย) มูลค่า 37,716 ล้านบาท (50,610 ล้านบาท) โดยจำนวนหน่วยต่ำกว่าปี62 ร้อยละ -35.3 และมูลค่าลดลงร้อยละ -25.5

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ เทียบกับคนไทย พบว่า ในปี 2561 คนต่างชาติเคยมีสัดส่วนการโอนกรมมสิทธิ์คิดเป็นร้อยละ 10.1 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ16.3 ของมูลค่าทั้งหมด ต่อมาในปี 2562 มีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 9.9 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และร้อยละ 15.5 ของมูลค่าทั้งหมด และมีสัดส่วนต่ำสุด เหลือเพียงร้อยละ 6.8 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และร้อยละ 12.1 ของมูลค่าทั้งหมดในปี 2563

ระดับราคาห้องชุดที่คนต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท และราคา 2.01 – 3 ล้านบาท โดยทั้งสองระดับราคาจะมีสัดส่วนจำนวนหน่วยใกล้เคียงกันคือร้อยละ 23.2 และร้อยละ 23.0 ตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาด้านมูลค่าการโอน พบว่า ห้องชุดระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท จะมีสัดส่วนมูลค่าสูงสุดถึงร้อยละ 28.5

ต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯมากกว่าครึ่ง

จังหวัดที่มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติมากที่สุดในปี 2563 ใน10 ลำดับแรก ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันมากถึงร้อยละ 99.7 และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวมกันมากถึงร้อยละ 99.8 ส่วนที่เหลืออีก 20 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยเพียงร้อยละ 0.3 และสัดส่วนมูลค่ารวมกันร้อยละ 0.2

อันดับแรก คือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนหน่วยมากถึงร้อยละ 57.1 และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนมากถึงร้อยละ 73.5 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศ

อันดับสองคือจังหวัดชลบุรี มีสัดส่วนจำนวนหน่วยร้อยละ 24.9 แต่มีสัดส่วนมูลค่าร้อยละ 14.2 อันดับสามคือจังหวัดภูเก็ต มีสัดส่วนจำนวนหน่วยเพียงร้อยละ 4.7 แต่มีสัดส่วนมูลค่าร้อยละ 4.6 ส่วนอันดับ 4 – 10 ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) ปทุมธานี ระยอง นนทบุรี และเชียงราย ตามลำดับ

สัญชาติของคนต่างชาติที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2563 เปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งสัญชาติของคนต่างชาติของทั้งสองปี มีรายชื่อ 10 ประเทศที่เหมือนกัน โดยอันดับ 1 เป็นชาวจีน ที่โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด โดยในปี 2562 มีสัดส่วนการโอนร้อยละ 59.6 ของจำนวนหน่วย และเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 63.4 ในปี 2563 แต่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเมื่อเทียบกับปี 62 แต่สัดส่วนยังสูง เนื่องจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของแต่ละประเทศลดลงเช่นกัน ทำให้ค่าเฉลี่ยชาวจีนมีสัดส่วนสูง

*อันดับสอง เป็นชาวรัสเซีย มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 ร้อยละ 4.7 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด แต่ลดลงจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 6.2 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด

อันดับสาม เป็นชาวฝรั่งเศส สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 ร้อยละ 3.4 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 3.1

อันดับสี่ เป็นชาวสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 ร้อยละ 3.1 ของจำนวนหน่วย สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 3.0

อันดับห้า เป็นชาวเยอรมัน สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 ร้อยละ 2.5 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 2.2. (เดิมในปี 62 จะเป็นชาวญี่ปุ่น ซึ่งในปี 63 หล่นไปอยู่อันดับ 8)

อนึ่ง รัฐบาลได้กำหนดช่วงเดือนกรกฎาคม 64 จะเริ่มมีการเปิดประเทศมากขึ้น หลังจากในหลายประเทศตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนภายในประเทศ แต่ในสถานการณ์การระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 คงต้องดูท่าทีของรัฐบาล จะยังคงยึดตามกรอบในการเปิดประเทศหรือไม่.

“กรุงไทย”คว้ารางวัล BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA ประเภทธุรกิจธนาคาร 

นายกฤษณ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคารกรุงไทย เป็นตัวแทนธนาคาร รับรางวัล  “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA”  แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียประเภทกลุ่มธุรกิจธนาคาร ในงาน  “THAILAND ZOCIAL AWARDS 2021” ครั้งที่ 9 จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียในประเทศไทย เพื่อยกย่องแบรนด์ที่มีผลงานด้านการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์  โดยพิจารณาการใช้สื่อใน  4 ช่องทางหลัก คือ Facebook  Instagram  Twitter และ YouTube เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ณ  GMM Live House at CentralWorld

AWCจับมือแมริออทฯ เดินหน้าพัฒนารีสอร์ทระดับโลก “พัทยา แมริออท รีสอร์ทฯ”แลนด์มาร์คแห่งใหม่ พร้อมเปิดบริการปี 66

แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมลงนามครั้งสำคัญกับแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เตรียมเดินหน้าแผนพัฒนาครั้งใหม่ ในการเสริมสร้างความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ ล่าสุด พัฒนาโรงแรมพัทยาแมริออทรีสอร์ทแอนด์สปาแอทจอมเทียนบีชรีสอร์ทลักซ์ชัวรี่ระดับโลก เพื่อสร้างประสบการณ์แสนประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและธุรกิจ โดยวางแผนเปิดให้บริการในปี 2566 นับเป็นการต่อยอดความร่วมมือกับแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นน่าจับตามอง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาเยือนประเทศไทย ทั้งการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนหย่อนใจ นับเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ AWC เป็นหนึ่งในเจ้าของโรงแรมแบรนด์ในกลุ่มแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนลรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แปซิฟิก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งมั่นตามแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เราจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สานต่อและขยายความร่วมมือครั้งสำคัญนี้กับแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า ควบคู่ไปกับการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะร่วมยกระดับระบบนิเวศ (Ecosystem) และศักยภาพทางการท่องเที่ยวของไทยในระยะยาว

“การลงนามครั้งสำคัญในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อ AWC ที่จะนำไปสู่การสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวของประเทศไทย ด้วยการพัฒนาโครงการแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ที่นำเสนอประสบการณ์โดดเด่นผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแบรนด์โรงแรมระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และผสานการนำนวัตกรรมที่ล้ำสมัยเพื่อดูแลและสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับ ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเพิ่มความหลากหลายยิ่งขึ้นให้กับพอร์ตโฟลิโอโรงแรมของ AWC”

โรงแรม พัทยาแมริออทรีสอร์ทแอนด์สปาแอทจอมเทียนบีช เป็นรีสอร์ทแอนด์สปาระดับอัปเปอร์อัปสเกลสไตล์ลักซ์ชัวรี่ ได้แนวคิดมาจากต้นตาลที่รายล้อมอยู่ทั่วบริเวณแห่งนี้ ให้บรรยากาศแบบป่าเมืองร้อนแนวทรอปิคอล ลูกค้าจะได้เพลิดเพลินไปกับการนั่งมองแสงอาทิตย์ระยิบระยับบนผืนน้ำทะเลในเวลาใกล้ตกดิน ผ่านแนวต้นตาลที่ขึ้นปกคลุมโดยรอบนับเป็นการพักผ่อนที่แสนผ่อนคลายแต่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเข้าพักเป็นครอบครัว คู่รัก ติดต่อธุรกิจหรือเข้าพักระยะยาว (long stay) ประกอบด้วยจำนวนห้องพักรวม 302 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันอาทิ โฮเทลเล้าจ์ บาร์ ร้านอาหารเวิร์คกิ้งสเปซ สระว่ายน้ำ ตลอดจนพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายและสปา ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ท่ามกลางป่าเมืองร้อน เพื่อการพักผ่อนที่เหนือระดับ

“ความร่วมมือระหว่างแมริออทอินเตอร์เนชั่นแนลและAWC กับโปรเจคโรงแรมพัทยาแมริออทรีสอร์ทแอนด์สปาแอทจอมเทียนบีชในครั้งนี้เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงของทั้งสองบริษัทและแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเราในเอเซียแปซิฟิกโดยเฉพาะประเทศไทย”ราจีฟเมน่อนประธานประจำภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศจีน) แมริออทอินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว

AWC เชื่อมั่นว่าการเดินหน้าสานต่อความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า ด้วยการลงนามสัญญาบริหารโรงแรมพัทยาแมริออทรีสอร์ทแอนด์สปาแอทจอมเทียนบีชรีสอร์ทแอนด์สปาระดับอัปเปอร์อัปสเกลสไตล์ลักซ์ชัวรี่ เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวและธุรกิจ และการขยายตัวของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) และเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวของประเทศไทย.

Slumber Party Hostels ขยายฐานธุรกิจยืนเป็นอันดับ 4 ของโลก

คอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้ (CH) ประกาศซื้อกิจการ โบเดก้า โฮสเทลส์ ขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ สู่ธุรกิจโฮสเทลขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 4 ของโลก

มร.เอ็ดมันส์ โลว์แมน ผู้ก่อตั้ง สลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์ (SHG) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้(CH) กล่าวถึงการเข้าซื้อกิจการ โบเดก้า โฮสเทล ของ เอสเอชจี โดยระบุว่า ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 กลุ่มบริษัทฯ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ อาทิ สลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์ (SHG), พาธ (Path) และ โซเชียลเทล(Socialtel) ตัดสินใจเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดธุรกิจการท่องเที่ยว และความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ การเข้าควบรวมกิจการโบเดก้าโฮสเทล จะทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีจำนวนเตียงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งหมดรวมกว่า 2,500 ยูนิต ทั้งในประเทศไทย อินโดนิเซีย และกัมพูชา

สลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์ เปิดตัวในปี พ.ศ.2555 เน้นจับกลุ่มลูกค้านักเดินทางในช่วงอายุระกว่าง 18-35 ปี ด้วยการมอบประสบการณ์การเดินทางแบบครบวงจร จบในที่เดียว ตั้งแต่การออกแบบความ สะดวกสบายในโฮสเทลโฮสเทลและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ลูกค้ารองรับการพักผ่อนด้วยธุรกิจทัวร์ในพื้นที่ และการจัดอีเวนท์ที่สามารถทำได้มีขึ้นทุกวันในร้านอาหาร และบาร์ของโรงแรม

“เรามองว่านี่คือโอกาสท่ามกลางวิกฤต และเป็นการขยายกิจการตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทั้งการขยายกลุ่มลูกค้า และนำความชำนาญในการบริหารธุรกิจโรงแรมของเราสู่แบรนด์ใหม่” มร.โลว์แมนกล่าว

รูปแบบการดำเนินฑุรกิจธุรกิจ ของเอสซีจี คือ การการเพิ่มคุณค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ที่เราเข้ามาบริหาร โดยจะเป็นการกระจาย รายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจ พัฒนาแบรนด์ รวมถึงการจัดการบริหารธุรกิจในเครือทั้งหมดจากส่วนกลาง

ผู้บริหารเอสเอชจี ยังเสริมอีกว่า “ในขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับทั่วโลกกำลังรอการกระจายวัคซีนด้วยความหวัง บริษัทฯ เริ่มเห็นกระแสความต้องการท่องเที่ยวเริ่มกลับคืนมาในเอเชีย โดยจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นพื้นที่ที่เงินลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาอย่างแข็งแรงได้ในอีก 3-5 ปี”

นอกจากนี้ บริษัทฯ ระบุว่า เป็นเพราะประสบการณ์การทำธุรกิจ ความสำเร็จที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และความแข็งแกร่งของระบบ บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทยืนอยู่เหนือกว่าคู่แข่งเสมอ ๆ

โบเดก้า โฮสเทลส์ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 ใน 9 สาขา ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ถนนข้าวสาร และถนนนสุขุมวิท และอีก 2 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่เมืองเก่า และท่าแพ นอกจากนั้นยังมีสาขาที่เกาะพะงัน แม่ฮ่องสอน ภูเก็ต อ่าวนาง และในต่างประเทศ อาทิ ที่เมืองเสียมราฐ กัมพูชา

นอกจากการเข้าซื้อกิจการของโบเดก้า โฮสเทลส์แล้ว เอสเอชจี ยังขยายธุรกิจเชิงรุก ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ อาทิ ธุรกิจแบรนด์โซเชียลเทล บนเกาะสมุย ซึ่งเป็นโรงแรมขนาด130 ห้องนอน ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความครบครันด้วยบริการ บีชคลับ โค-เวิร์กกิ้งสเปซ บาร์เครื่องดื่มลับ และไอวีบาร์ (บาร์ดีท็อกแอลกอฮอล์) และนอกจากนั้นยังตั้งเป้าเพิ่มเครือข่ายในภูมิภาค โดยมองโอกาสในศรีลังหา ฟิลิปปินส์ เสียดนาม และอินโดนิเซีย เพื่อขยายธุรกิจในอนาคตเช่นกัน.

ตลาดสีทาบ้านครึ่งปีหลังรับปัจจัยบวก’ฉีดวัคซีนโควิด-เปิดประเทศ’หนุนอสังหาฯคึกคัก เศรษฐกิจรวมฟื้นตัว

ผู้บริหาร“นิปปอนเพนต์” มั่นใจการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 บวกกับนโยบายเปิดประเทศตามแผน 1 ก.ค.นี้ ปัจจัยบวกหนุนอสังหาฯครึ่งปีหลังฟื้นตัว ภาพรวมเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น หนุนตลาดสีทาบ้านมีโอกาสขยายตัวสูง พร้อมเดินหน้าเปิดตัวนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ สีทาภายนอก เกรดอัลตราพรีเมียม ที่พัฒนาและปรับสูตรใหม่ขึ้นด้วย NIPPON CROSS-LINK TECHNOLOGY เทคโนโลยีสีครบ จบ ทน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความครบของฟีเจอร์ที่จำเป็นต่อการใช้งาน

นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดสีทาบ้านและสีทาอาคารมีมูลค่าตลาดรวมต่อปี 22,000 ล้านบาท ลดลง 5-7% สำหรับสีน้ำทาบ้านและอาคาร แบ่งออกเป็นตลาดสีทาบ้านระดับบน 3,000-4,000 ล้านบาท ระดับปานกลาง 4,000-5,000 ล้านบาท และระดับประหยัด 2,000-3,000 ล้านบาท โดยตลาดสีทาบ้านระดับบนมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่า ในครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้น เป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา รวมทั้งแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ตามแผนรัฐบาลในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564) เชื่อว่าจะช่วยให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักและทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีการขับเคลื่อนมากขึ้น หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้ผู้บริโภคและภาคเอกชนลดการใช้จ่าย ทำให้ลดหรือชะลอการปรับปรุงบ้าน อาคาร โรงงาน สำนักงานต่างๆ

ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในทุกกลุ่ม จึงเปิดตัวนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ สีทาภายนอก เกรดอัลตราพรีเมียม ที่พัฒนาและปรับสูตรใหม่ขึ้นด้วย NIPPON CROSS-LINK TECHNOLOGY เทคโนโลยีสีครบ จบ ทน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความครบของฟีเจอร์ที่จำเป็นต่อการใช้งาน ทั้งด้าน feature การทำงานและความคุ้มค่า ซึ่งประกอบด้วย คุณสมบัติหลัก 4 Best คือ Best Shield ครบจบปัญหาสีลอกล่อน ทนทานนาน 15 ปี Best Cover ครบจบปัญหารอยแตกลายงา และป้องกันความชื้นซึมเข้าผนัง จึงหมดปัญหาสีซีดจาง คราบด่าง คราบเกลือ สีบวมพอง และสีลอกล่อน Best Clean ครบจบปัญหาคราบสกปรกบนผนังจากสภาวะอากาศ ด้วยประสิทธิภาพของฟิล์มสีที่แข็งแกร่ง ยึดเกาะดี ฟิล์มสีสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ Best Reflection ครบจบปัญหาความร้อนด้วยการสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์ จากเทคโนโลยี Solar Reflect เทคโนโลยี Solar Reflect ช่วยสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์ได้สูงสุดถึง 94%

นายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า บริษัทจะใช้งบการตลาดราว 5% ของยอดขายในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ของแคมเปญโฆษณาสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ครบที่รุ่นนี้ สีเวเธอร์บอนด์” ที่มุ่งสื่อสารสร้างความเข้าใจใน NIPPON CROSS-LINK TECHNOLOGY เทคโนโลยีสี ครบ จบ ทน และฟังก์ชันการใช้งานเพื่อรองรับพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างครบครันและถูกต้อง โดยแคมเปญสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ เน้นที่สื่อออนไลน์เป็นหลัก และขยายการรับรู้ให้เข้าถึงผู้บริโภค ผ่านสื่อ Out of Home ไม่ว่าจะเป็น Digital Billboard ตามจุดสำคัญต่างๆ รอบกรุงเทพฯ แหล่งชุมชน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างครบถ้วน ทั้งโมเดิร์นเทรดชั้นนำ และตัวแทนจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ทั่วประเทศ

#นิปปอนเพนต์ #สีทาบ้าน #โควิด #เปิดประเทศ

การบริหารสินทรัพย์ “กุญแจ” สำคัญบริหารความเสี่ยงอสังหาริมทรัพย์ปี 64

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมีการแข่งขันที่สูงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด รวมทั้งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนต่างต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมาย ซึ่งปี 2564 ก็นับเป็นปีที่ท้าทายมากที่สุดจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนโครงการใหม่และนักลงทุนหันมาทบทวนกลยุทธ์การจัดพอร์ตทำให้ซีบีอาร์อีบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก มองเห็นว่าการบริหารสินทรัพย์หรือ Asset Managementเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงสำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาระทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นไปตามการระบาดในแต่ละระลอก

นายนิโคลัส เว็ทเทวิงเคล ผู้อำนวยการ แผนกการลงทุนและที่ดินซีบีอาร์อีประเทศไทย ได้อธิบายว่า“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร กำลังสร้างแรงกดดันใหม่ให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯในปี 2564 ท่ามกลางภาวะซัพพลายที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่พักอาศัย ตลาดพื้นที่สำนักงานและตลาดพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ ได้ส่งผลให้นักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างต้องปรับตัว

“ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีที่ใดในโลก นอกจากจีนและดูไบ ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากการลงทุนขนาดใหญ่ในระบบขนส่งมวลชน เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งมวลชน ไม่เพียงก่อให้เกิดประโยชน์กับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในเชิงพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำให้รูปแบบการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยที่เคยมีมาก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างดังกล่าว การมีกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่เหมาะสมจะช่วยให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีผลต่อพอร์ตการลงทุนได้อย่างทันท่วงที”นายนิโคลัสกล่าวเพิ่มเติม”

กรณีศึกษาที่ดีกรณีหนึ่งในการนำกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์มาใช้ คือ ซีบีอาร์อีได้แนะนำเจ้าของที่ดินรายหนึ่งเรื่องการซื้อแปลงที่ดินขนาดเล็กที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายหลักเพื่อเพิ่มขนาดที่ดินที่ถือครองโดยรวมในบริเวณนั้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาอาคารสูงบนที่ดินที่มีอยู่ได้ และเพิ่มพื้นที่ก่อสร้างอาคารได้มากขึ้นถึงเกือบ 300%

อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากพูดคุยกับนักลงทุนที่ต้องการขายอพาร์ตเมนต์เก่าซึ่งมีอัตราการเข้าพักลดลงเหลือต่ำกว่า 50% ซีบีอาร์อีได้แนะนำให้ปรับปรุงอาคารแทนการขาย โดยหลังจากการปรับปรุงใหม่อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 90% และอัตราค่าเช่ายังเพิ่มขึ้นอีก 20% จากผลประกอบการที่ดีขึ้นนักลงทุนจึงตัดสินใจที่จะไม่ขายอาคารดังกล่าวและอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีแม้ในช่วงที่มีโรคระบาด

การบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียด ตลอดจนความเข้าใจในความต้องการของเจ้าของทรัพย์สินข้อกำหนดด้านการเงินรวมถึงระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ สาระสำคัญของการบริหารสินทรัพย์คือการชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความเสี่ยงต่างๆ ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับตลาดและนำเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับเจ้าของทรัพย์สิน การบริหารจัดการสินทรัพย์เป็นแบบแผนอย่างหนึ่งสำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาและยกระดับสถานะของสินทรัพย์ให้สูงที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยในการบริหารจัดการและลดความเสี่ยงตามกลยุทธ์ที่ไว้วางแผนไว้ล่วงหน้า

“เราสามารถนำเทคนิคการบริหารสินทรัพย์ไปใช้กับอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกประเภทตั้งแต่ที่ดินไปจนถึงอาคารที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งเทคนิคในการบริหารสินทรัพย์อาจเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใกล้เคียงเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงรูปแปลงที่ดินและเพิ่มศักยภาพในการพัฒนา หรือการปรับปรุงอาคารเพื่อให้ยังคงสามารถแข่งขันในตลาดได้ในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดอย่างกรุงเทพฯที่ซัพพลายใหม่ส่งผลกระทบต่ออาคารเก่าอยู่เสมอนั้น อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกละเลยสามารถได้รับประโยชน์จากการมีกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่ดี ซึ่งจะช่วยกำหนดระดับการลงทุนที่ถูกต้องเพื่อปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นการไม่ทำอะไรเลยกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี” นายนิโคลัส กล่าวเสริม

ในปี 2564 เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยความรู้และการวิเคราะห์ตลาดในเชิงลึกเพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่ถูกต้องและสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุดสำหรับทรัพย์สินแต่ละรายการในพอร์ตการลงทุนก่อนที่จะสายเกินไป

‘เอพี’ฟอร์มดีไม่มีตก โชว์Q1กวาดยอดขายเกือบ8พันล. มั่นใจสินค้า’แนวราบ’ซูเปอร์สตาร์แห่งปี

เอพี ไทยแลนด์ ฟอร์มดีไม่มีตก ประเดิมผลงานรับต้นปี 64 ด้วยยอดขายรวมไตรมาสแรกมากที่สุด 7,966 ล้านบาท เป็นผลจาก 113 โครงการที่กระจายขายอยู่ทั่วประเทศ สะท้อนความแข็งแกร่งที่เกิดจากภายใน ควบคู่กับการบริหารพอร์ตและกระจายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2 สินค้าแนวราบยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งปี เตรียมเดินหน้าเปิดตัวแนวราบ 5 โครงการใหม่ พร้อมไม่หยุด ที่จะเตรียมองค์กรให้ตั้งรับกับกฎกติกาโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้พันธกิจ ‘EMPOWER LIVING’

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) เชื่อว่า ยังคงอยู่ในสภาวะที่รอการฟื้นตัว ทั้งในภาพของดีมานด์ที่ยังคงเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจ ด้านซัพพลายการเปิดตัวสินค้าใหม่ยังคงเกิดจากผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่รายในตลาดดังที่ผ่านมา สินค้าคอนโดมิเนียมคาดว่าเซนติเมนต์น่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวกลับไปเหมือนก่อนเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ด้านสินค้าแนวราบยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ต่อเนื่องไปอีกปี โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 7,966 ล้านบาท จาอสังหาริมทรัพย์เครือเอพีที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 113 โครงการ (Exiting Projects) เพิ่มขึ้น 32% หากเทียบกับยอดขายไตรมาส 1 ของปี 2563 ที่ 6,045 ล้านบาท

โดยเป็นยอดขายที่มาจากสินค้าแนวราบมากถึง 7,293 ล้านบาท สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อสินค้าบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมเครือเอพี ที่กระจายครอบคลุมในพื้นที่เขต กทม. หรือการขยายตลาดใหม่ไปใน 5 จังหวัด อย่างขอนแก่น ระยอง นครศรีธรรมราช อยุธยา และเชียงราย จนสามารถสร้างการเติบโตด้านยอดขายได้อย่างโดดเด่นที่สุดท่ามกลางสภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้

ทั้งนี้ โอกาสรอดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ท่ามกลางการต้องเผชิญกับสภาวะ Ripple Effect หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น ความเสียหายที่เกิดจากโควิด-19 นั้น นอกจากแผนการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งแล้วนั้น การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าให้มีสินค้าพร้อมขาย และกระจายไปในหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่นำมาซึ่งความสำเร็จในวันนี้ ควบคู่ไปกับการมี EMPOWER LIVING เป็นเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้

สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 2 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าแนวราบจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,660 ล้านบาท โดยทั้งหมดมีแผนจะเปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ได้แก่ 1) CENTRO พหล-วิภาวดี 2 จำนวน 249 ยูนิต มูลค่า 1,250 ล้านบาท 2) CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 จำนวน 43 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท

ทาวน์โฮม 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,010 ล้านบาท ได้แก่ 3) Pleno บางนา-อ่อนนุช 2 จำนวน 233 ยูนิต มูลค่า 570 ล้านบาท 4) Pleno ปิ่นเกล้า-จรัญ 2 จำนวน 86 ยูนิต มูลค่า 330 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ 5) District รามอินทรา-จตุโชติ จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 110 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2564 นี้ เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าจะมีโครงการอสังหาฯที่พัฒนาอยู่ทั่วประเทศ 145 โครงการ มูลค่าพร้อมขายกว่า 118,128 ล้านบาท

โดยเป็นโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2564 จำนวน 34 โครงการ มูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท (เปิดตัวแล้ว 2 โครงการ มูลค่า 2,300 ล้านบาท) ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 30 โครงการ มูลค่าประมาณ 28,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 14,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Existing Projects) ที่กระจายไปในทุกทำเลทั้งใน กทม. และต่างจังหวัดมากถึง 113 โครงการ มูลค่าสินค้าพร้อมขายประมาณ 77,428 ล้านบาท (รวมโครงการเปิดใหม่ของปี 2564 ที่ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ)

โดยในปี 2564 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ (รวม 100% JV) 43,100 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท โดยไตรมาส 1 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการไปแล้วจำนวน 2 โครงการ คือ อภิทาวน์ เชียงราย และอภิทาวน์ อยุธยา มูลค่าโครงการรวม 2,300 ล้านบาท เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย ณ 31 มีนาคม 2564 สามารถขายได้แล้วกว่า 300 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าในตลาดหัวเมืองใหญ่ ที่มีต่อแบรนด์และอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การพัฒนาของเอพี.

#เอพี #โครงการแนวราบ #อภิทาวน์ #ยอดขายไตรมาส1