ปลดล็อกสกิน หน้าสวยไร้สิว! ลอรีอัล แชร์5เคล็ดลับ ขจัดปัญหาในช่วงฤดูร้อน

การกลับมาของฤดูร้อน อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สาว ๆ หลายคนต้องเจอกับฝันร้ายอย่างปัญหาสิวผด จนทำเอาความมั่นใจที่เคยมีหายไปหมดเลย วันนี้ ‘ลอรีอัล’ จึงมีเคล็ดลับสุดพิเศษมาร่วมแชร์ให้สาว ๆ ร้อนนี้ไม่มีสิว พร้อมแจกความสดใสในช่วงซัมเมอร์นี้ แม้สถานการณ์โควิด 19 จะทำให้ต้องเว้นระยะในการเดินทางท่องเที่ยว แต่การดูแลความสวยใสของผิว ต้องไม่มีแผ่ว โดยปัญหาหน้ามันและสิว ที่มักจะผุดขึ้นมาในช่วงฤดูร้อนนั้น เป็นเพราะอุณหภูมิของอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างมาก

ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเร่งปฏิกิริยา ให้รูขุมขนบนผิวหน้าของเรากว้างขึ้น ทำให้มีโอกาสที่สิ่งสกปรกระหว่างวันจะเข้าไปอุดตันได้ง่ายกว่าปกติ ผนวกกับต่อมไขมันในร่างกายที่เร่งผลิตน้ำมันมาหล่อเลี้ยงผิวมากขึ้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นจากการระเหยของน้ำซึ่งอาจเข้าไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดเป็นปัญหาสิวกวนใจได้เช่นกัน

แต่ปัญหานี้แก้ไขได้อย่างง่ายดาย โดย ลอรีอัล ควงแขน 3 แบรนด์ดังอย่าง La Roche Posay, CeraVe, และ Vichy มอบ 5 เคล็ดลับสุดสเปเชียล ที่จะช่วยให้เหล่าซิสหน้าใส ไร้สิวรับซัมเมอร์แบบฉบับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมกระซิบต่อกับโปรโมชั่นสุดน่าตำในแคมเปญ Shopee 5.5 Lowest Price Festival

สะอาดใส ใส่ใจขั้นตอนการล้างหน้า การทำความสะอาดใบหน้า นับเป็นขั้นตอนแรก ที่ต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ โดยการล้างหน้าที่ดี ไม่ควรเกินวันละ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการเช็ดเครื่องสำอางค์ และชโลมใบหน้าด้วยน้ำเปล่าก่อน จากนั้นจึงบีบเจลล้างหน้าและถูเข้าเบา ๆ บนฝ่ามือจนเนื้อผลิตภัณฑ์แตกตัว จากนั้นจึงค่อย ๆ นวดไปตามใบหน้าราว 15-20 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยแนะนำให้ใช้เจลล้างหน้าสูตรที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid อย่าง La Roche Posay Effaclar Micro-Peeling Purifying Gel ซึ่งจะช่วยขจัดคราบอุดตันในรูขุมขน พร้อมช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้อย่างหมดจด

เติมความชุ่มชื้น ปรับสภาพผิว เมื่อล้างหน้าทำความสะอาดด้วยโฟมจนเกลี้ยงเกลาแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการใช้ โทนเนอร์ทำความสะอาดซ้ำ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากความแห้งตึงเท่านั้น แต่โทนเนอร์ยังเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสุดเอ็กซ์ ตร้าสำคัญที่จะช่วยลบคราบเมคอัพบนใบหน้าให้สะอาดหมดจด เพียงหยด Vichy Normaderm Toner ลงบนแผ่นสำลีสัก 2-3 หยด แล้วจึงเช็ดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า แค่นี้ก็สามารถขจัดคราบสกปรกจากเครื่องสำอางระหว่างวันที่ตกค้างไว้บนใบหน้า จนอาจทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตันตามมาได้ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมสภาพผิวก่อนการบำรุงด้วยสกินแคร์อีกขั้น

ปรับสกินแคร์ ให้เข้ากับสภาพอากาศ อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ คือผิวหน้าที่มันเพิ่มขึ้นอาจก่อให้เกิดปัญหาสิวได้ง่าย ดังนั้น จึงแนะนำให้เหล่าสาวๆ ที่หน้ามันทั้งหลาย ลองเปลี่ยนสกินแคร์รูทีน ของตัวเองดู แล้วลองเปลี่ยนจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์มาเป็นเพียงกันแดดที่ผสมความชุ่มชื้นเบาๆ อย่าง La Roche Posay Anthelios XL Dry Touch SPF 50+ นอกจากเหมาะกับสภาพผิวในช่วงอากาศร้อนและไม่เสริมให้หน้ามันเยิ้ม ยังช่วยปกป้องรังสียูวีที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ส่งทำร้ายผิวสวยของเราอีกด้วย

ความสะอาดเครื่องนอน ป้องกันปัญหาสิว การดูแลความสะอาดเครื่องนอนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การที่เราเอนตัวลงบนเตียงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเผลอทิ้งคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกบนใบหน้าลงบนปอกหมอนและผ้าปูที่นอนโดยไม่ทันรู้ตัว จนทำให้เกิดการหมักหมมของสิ่งสกปรก เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของสิวอุดตัน จึงแนะนำให้หมั่นเปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอยู่เนือง ๆ เพราะเมื่อผิวต้องเผชิญกับฝุ่นจากที่นอน ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ อาจส่งผลให้ผิวของเราแห้ง ลอก คัน เป็นสิวหรือมีอาการระคายเคือง เพื่อฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิวให้กลับมาแข็งแรง ดังนั้นก่อนนอนเราควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยเสริมปราการ ที่อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว เน้นผลิตภัณฑ์ ที่มีสารสำคัญอย่าง Ceramide และ Niacinamide ช่วยลดการระคายเคืองของผิว พร้อมปรับให้ผิวแลดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น

เลือกผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ตรงจุด ปัญหาสิวคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราจึงไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพผิวหน้าของเราให้ดูสวยสุขภาพดี ในแต่ละช่วงภูมิอากาศอยู่อย่างเสมอ ๆ ช่วยลดแบคทีเรียบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสาว ๆ ที่ต้องการดูแลสุขภาพหน้าแบ่งตามระดับสิว สำหรับคนสิวน้อย แนะนำให้ใช้ Effaclar K (+) ช่วยลดสิวอุดตันและบำรุงผิว พร้อมคุมมันยาวนานถึง 8 ชม. และสำหรับคนสิวมาก แนะนำให้ใช้ Effaclar Duo (+) ที่จะช่วยปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยนด้วยคุณสมบัติในการฟื้นบำรุงผิวจากการปัญหาสิวในช่วงฤดูร้อนนี้ นอกจากนี้ในช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ก็อย่าลืมพกสเปรย์คุมมันเสริมความมั่นใจ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์คุมมันทันทีที่ใช้ และยังล๊อคเครื่องสำอางไม่ให้ไหลเยิ้ม เพิ่มความมั่นใจในตลอดซัมเมอร์นี้ได้เลย

นับว่าการล้างหน้าให้ถูกวิธี และเลือกผลิตภัณฑ์รักษาสิวพร้อมป้องกันผิว อย่างตรงจุด! ก็มีชัยในความสวยไปกว่าครึ่ง! เพื่อการเตรียมพร้อมในทุกการดูแลผิวให้สดอย่างต่อเนื่อง คนรักผิวต้องไม่พลาด โปรโมชั่นดีๆ ในแคมเปญ Shopee 5.5 Lowest Price Festival เพราะมีส่วนลดสุดพิเศษจาก La Roche Posay, Vichy, และ CeraVe ถึง 50% พร้อมโค้ดส่วนลดเพิ่ม 800 บาท เมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay และสิทธิประโยชน์สุดเลอค่าอีกมากมาย ไว้ให้ ได้ปลดล็อกสกินความเปล่งประกายสดใสในออร่า

ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 พ.ค. 2564 ร่วมช้อปสินค้า พร้อมกดติดตามร้านค้าบน Shopee Mall เมื่อไม่ให้พลาดข่าวสารและอัพเดท โปรโมชั่นสำคัญจากแบรนด์ดัง อาทิ La Roche Posay Official Store ได้ที่ https://shopee.co.th/la_roche_posay_official_shop กดติดตาม Vichy Official Store https://shopee.co.th/vichy_official_shop ได้ที่ และ CeraVe Official Store https://shopee.co.th/cerave_official_shop

#ลอรีอัล#ความสวย#หน้าใส

‘เอสซีจี เซรามิกส์’กำไรพุ่ง มั่นใจปรับตัวพร้อมรับมือโควิดระลอกใหม่

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยถึงงบการเงินรวมก่อนสอบทานของ COTTO ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,806 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีกำไรสำหรับงวด 187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

ปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ มีผลทำให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศสูงขึ้น และทำให้สินค้าจากจีน รวมทั้งกระเบื้องเซรามิกนำเข้ามีราคาสูงขึ้นมาก ผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง จึงเลือกที่จะสต็อกสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทฯมีแหล่งนำเข้าสินค้ากระเบื้องเซรามิกจากหลากหลายประเทศ ทำให้สินค้ากระเบื้องเซรามิกนำเข้าของบริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น จึงได้รับความไว้วางใจและได้รับการสนับสนุน ในฐานะผู้ผลิตและผู้นำเข้ากระเบื้องเซรามิกรายใหญ่ลำดับต้นของประเทศ ขณะที่บริษัทฯได้ให้ความสำคัญกับโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ทั้งในฐานะที่เป็นลูกค้าและเป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญของบริษัทฯด้วย มีผลทำให้ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ จากการที่ภาครัฐหนุนให้โครงการของรัฐจัดซื้อจัดจ้างจากพัสดุในประเทศมากขึ้นไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่ใช้ ยังเป็นผลดีต่อผู้แทนจำหน่ายคู่ค้าสำคัญซึ่งเป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่มีฐานลูกค้างานภาครัฐและภาคเอกชนรายใหญ่ด้วย” นายนำพล กล่าว

สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในระยะสั้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกเมษายน ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ นายนำพล เปิดเผยว่า การที่ทางภาครัฐได้มีการประกาศใช้นโยบายต่าง ๆ เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในประเทศ มีผลกระทบกับผู้บริโภคโดยทั่วไปและบริษัทฯในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีความพร้อมและได้เตรียมการรับมือแล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 1 ปี ได้มีการเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอด จึงมั่นใจว่าจะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างราบรื่น

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจในจุดแข็งเรื่องช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย ร่วมกับประสบการณ์ในการบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่ายแต่ละรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นร้านผู้แทนจำหน่าย ร้านโมเดิร์นเทรด คลังเซรามิค COTTO Life ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งแต่ละช่องทางต่างมีจุดเด่นที่จะตอบสนองความต้องการและเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างทั่วถึงครอบคลุมและสามารถเติมเต็มการให้บริการครบวงจร คาดว่าจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงสินค้าของบริษัทฯ จากหลากหลายช่องทางได้อย่างสะดวกสบายเหมือนภาวะปกติ

“บริษัทฯ พยายามที่จะหาโอกาสสร้างยอดขายผ่านช่องทางที่หลากหลาย และผสมผสานระหว่างหน้าร้านสาขาและช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น ร้านผู้แทนจำหน่าย ร้านค้าปลีก ร้านค้าช่วง โมเดิร์นเทรด และ COTTO Life ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะเข้าถึงและซื้อสินค้าได้สะดวกมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและลดความกังวล จากการติดเชื้อในสถานการณ์แพร่ระบาดที่เกิดขึ้นขณะนี้ด้วย”

ในส่วนของหน้าร้าน เช่น คลังเซรามิค เป็นร้านที่มีลักษณะเปิดโล่งในพื้นที่กว้างขวาง โดยมีพื้นที่ของแต่ละสาขามากกว่า 1,000 ตารางเมตร ซึ่งลูกค้าสามารถรักษาระยะห่าง Social Distancing ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน ที่สำคัญพนักงานทุกคนได้รับการอบรมเรื่องขั้นตอนการบริการและมาตรการปฏิบัติตนเพื่อดูแลตนเองและลูกค้าให้ปลอดภัยจากโควิด-19 นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มบริการชำระเงินแบบไร้การสัมผัส ทั้งการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหรือคิวอาร์โค้ด ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยมากขึ้นด้วย ปัจจุบัน “คลังเซรามิค” มีจำนวนทั้งหมด 47 สาขา กระจายอยู่ตามพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยบริษัทฯ ยังคงเร่งขยายสาขาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง”

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานโดยเพิ่มเติมการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารออนไลน์เข้ามาช่วยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้สามารถบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ล่าสุด บริษัทฯ ได้ทดลองเพิ่มรูปแบบกิจกรรมการขายสินค้าให้กับกลุ่มผู้แทนจำหน่ายเป็นการสั่งจองและขายสินค้าผ่านการ Live ทางเฟซบุ๊ก ได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจมาก ถือเป็นการปรับกระบวนการทำงานภายใน ระหว่างบริษัทและผู้แทนจำหน่ายซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการติดต่อซื้อขายระหว่างกันในช่วงสถานการณ์ระบาดของโควิด”

คาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น จะยังคงส่งผลต่อทั้งระบบเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่ง โดยมีหลายปัจจัยที่ควรเฝ้าระวัง เช่น แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อ และสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจ โดยมองว่าในปี 2564 คาดว่ายังมีการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของการอยู่อาศัยจริง และมาจากความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น จะยังคงมีสินค้าที่น่าจะได้รับผลเชิงบวก คือ กลุ่มสินค้าโครงสร้างรวมทั้งกลุ่มสินค้าตกแต่ง เช่น กระเบื้อง สุขภัณฑ์ เชื่อว่าในช่วงสั้น ๆ สถานการณ์ตลาดในประเทศจะยังทรงตัวในลักษณะนี้ต่อไป โดยอาจจะมีปัจจัยหนุน คือ แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ” นายนำพล กล่าว

#ตู้คอนเทนเนอร์ขาดตลาด #จีน #วัสดุก่อสร้าง #โควิดระลอก3 #เอสซีจี เซรามิกส์

‘เซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน’มอบแพ็กเกจ”กักตัวปลอดภัย มั่นใจไร้กังวล”

โรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน กรุงเทพฯ มอบบริการ “แพ็กเกจสถานที่กักตัวทางเลือก” สำหรับนักเดินทางชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศในช่วง 14 วันแรก ด้วยห้องพักที่สะดวกสบาย เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการที่เป็นเลิศ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง พร้อมวิวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

บริการ “สถานที่กักตัวทางเลือก” โดยโรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน กรุงเทพฯ มอบความอุ่นใจและปลอดภัยให้ผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมถึงคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ต้องการสถานที่สำหรับการแยกกักตัวเอง เพื่อดูแลคนที่คุณรักให้ปลอดภัย ตลอดสองสัปดาห์ที่ลูกค้ากักตัวที่โรงแรม ลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบายและบริการที่เป็นเลิศตลอด 24 ชั่วโมง อาทิ บริการอาหาร 3 มื้อต่อวัน อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง และบริการทำความสะอาดห้องพักอีกทั้งการบริการและดูแลสุขภาพระดับมาตรฐานสากลจากโรงพยาบาล ปิยะเวท ทั้งการตรวจหาเชื้อ โควิด-19 จำนวน 2 ครั้ง ก่อนเริ่มกักตัวและก่อนจบการกักตัวในบริเวณที่จัดไว้เพื่อตรวจคัดกรองโควิด-19 พร้อมใบรับรองผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หากไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 ในวันสุดท้ายของการเข้าพัก

โรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน กรุงเทพฯ มีห้องพักหลากหลายถึง 281 ห้อง ให้เป็นห้องพักสำหรับสถานที่กักตัวทางเลือก ในราคาเริ่มต้นที่ 38,000 บาทสุทธิต่อ 14 คืน รวมบริการอาหาร 3 มื้อต่อวัน อีกทั้งมอบส่วนลด 1,000 บาท สำหรับลูกค้าสัญชาติไทย โดยผู้เข้าพักจะต้องมีผลตรวจคัดกรองโควิด-19 เป็นลบก่อนเข้าพักทุกคน

โรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน กรุงเทพฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานด้านสุขอนามัยของโรงแรมฯ ที่ครอบคลุมทั้งการเว้นระยะห่าง สุขภาพ สุขอนามัย และการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักอย่างปลอดภัยสูงสุดอันสอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ให้แก่ลูกค้าของโรงแรมทุกคน

สามารถสอบถามหรือดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “สถานที่กักตัวทางเลือก” ของโรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน กรุงเทพฯ ได้ที่ https://www.facebook.com/centarawatergatebkk/ หรือ ส่งข้อความทาง LINE: @centarawatergate

# โรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิลเลียน กรุงเทพฯ #โควิด #กักตัว 14 วัน

LPN Wisdom ระบุโควิดระลอกใหม่ กระทบตลาดอสังหาฯปี64คาดติดลบต่อเนื่อง

LPN Wisdom คาดตลาดอสังหาฯ ปี 2564 มีแนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ 5% ถึง เพิ่มขึ้น 6%ขึ้นอยู่กับแนวโน้มการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ในเดือนเมษายน 2564

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอมแอนด์โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ระบุว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในเดือนเมษายน 2564 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้บริษัทได้มีการปรับประมาณการณ์คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จากเดิมที่คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2564 จะมีแนวโน้มเติบโตได้ถึง 10% เมื่อเทียบกับปี 2563 เป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5-6% ถึงติดลบ 5% ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในรอบนี้ที่มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง และส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยแบ่งแนวทางการวิเคราะห์สถานการณ์ออกเป็น 3 กรณี ตามประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในปี 2564

-กรณีฐาน(Base Case) เป็นกรณีที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ตามแผนในเดือนกรกฏาคม 2564 โดยประมาณว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน ในปี 2564 และกระจายวัคซีนได้ตามแผนที่วางไว้ ตามการคาดการณ์ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจปี 2564 ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ 3%

กรณีนี้ LPN Wisdom คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี2564จะมีอัตราการเติบโตที่ 5-6% โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 75,000-76,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 292,000-298,000 ล้านบาท เทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จำนวน 70,126 หน่วย มูลค่า 276,630 ล้านบาท

-กรณีเลวร้าย(Worse Case) เป็นกรณีที่ประเมินว่าการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ควบคุมได้ไตรมาสสองของปี 2564 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ฟื้นตัวในปี 2564 โดยธปท.ประเมินกรณีเลวร้ายว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ 0.5% ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับความมั่นใจของผู้บริโภคต่อรายได้ในอนาคต อัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และกระทบการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2564

กรณีนี้ LPN Wisdom คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2563 โดยมียอดการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2564 ประมาณ 70,000-71,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 270,000-280,000 ล้านบาท

กรณีเลวร้ายที่สุด(Worst Case) เป็นกรณีที่ประเมินว่าการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไม่สามารถควบคุมได้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวช้ากว่ากรณีฐานค่อนข้างมาก การแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์รุนแรงจนวัคซีนด้อยประสิทธิภาพลง จนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ต้องมีการพัฒนาวัคซีนใหม่ กำลังซื้อภายในประเทศลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น กรณีนี้ธปท. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2464 จะติดลบ 1.7%-2%

ภายใต้สมมติฐานดังกล่าว LPN Wisdom คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะมีแนวโน้มติดลบ 5-6% เมื่อเทียบกับปี 2563 เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่สองจากปี 2563 ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ 37% เทียบกับปี 2562 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2564 ประมาณ 65,000-66,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 260,000-265,000 ล้านบาท

“กรณีเลวร้ายที่สุดเป็นกรณีที่เราไม่คิดว่าจะเกิด แต่จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และการกลายพันธ์ ที่มีสัญญาณว่า วัคซีนที่ผลิตออกมาอาจจะไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ในหลายประเทศ ทำให้โอกาสในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศลดลง อัตราการว่างงานมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่อาจจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ศักดิ์ ให้ความเห็นว่า ถ้ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะถ้าเปิดให้สัดส่วนการถือครองอาคารชุดพักอาศัยได้มากกว่า 49% รวมถึงเปิดโอกาสให้สิทธิในการซื้อบ้านพักอาศัยภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด จะเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยให้มีอัตราการเติบโตได้ เพราะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อเข้ามาในประเทศ ซึ่งต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาหรือไม่

“จากรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า ในปี 2563 มีการโอนที่อยู่อาศัยให้กับชาวต่างชาติรวม 8,285 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 37,716 ล้านบาท ลดลง 35.3% และ 25.5% เมื่อเทียบกับปี 2562ตามลำดับถึงแม้จำนวนการโอนและมูลค่าลดลง แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงเวลาที่ประเทศไทยห้ามการเดินทางของชาวต่างชาติในปี 2563 ยังมีนักลงทุนต่างชาติที่มีความมั่นใจและยังคงซื้อและโอนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ถ้ารัฐมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการซื้ออสังหาฯจากต่างชาติ ก็จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในตลาดในภาวะที่กำลังซื้อในประเทศชะลอตัว” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

ในขณะที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในไตรมาสแรกของปี 2564 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยมีจำนวนการเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 9,688 หน่วย ลดลง 45.72%แต่มีมูลค่ารวมของการเปิดตัวโครงการใหม่ 70,156.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.81% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563เป็นผลมาจากการเปิดขายโครงการอาคารชุดพักอาศัยในระดับราคาสูง ขณะที่อัตราการขายของโครงการเปิดตัวใหม่ในไตรมาสแรกปี 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 20% ซึ่งสูงกว่าอัตราการขายที่ 16% ในระยะเดียวกันของปี 2563

โดยแบ่งการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสแรกปี 2564 เป็นการเปิดตัว อาคารชุดพักอาศัย 4,897 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 50.54% จากจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด หรือลดลง 28.90% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563คิดเป็นมูลค่า 46,567.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.55 % เทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563และเป็นการเปิดตัวของบ้านพักอาศัย 4,791 หน่วย คิดเป็น 49.46% จากจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด หรือลดลง 56.29% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563คิดเป็นมูลค่า 23,588.80 ล้านบาท ลดลง 46.15% เทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563.

BAMจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี2564 อนุมัติจ่ายเงินปันผล 0.5125 บาทต่อหุ้น

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ พร้อมคณะกรรมการและผู้บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAMร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Meeting) ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสCOVID – 19ณ ห้องประชุม ชั้น 17 อาคารสำนักงานใหญ่ BAMโดยที่ประชุมมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงาน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.5125 บาท พร้อมกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564

#BAM #บริหารหนี้ #ปันผลผู้ถือหุ้น

“เอพี ไทยแลนด์”คิกออฟ‘AP ScaleUp’ติดสปีดต่อยอด SMEไทยฝ่าวิกฤตโควิด

เอพี ไทยแลนด์ ภายใต้พันธกิจ ‘EMPOWER LIVING’ ที่มุ่งส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ คิกออฟโปรเจกต์ ‘AP ScaleUp 2021 Batch 1’ ต้อนรับ 30 SMEs ไทยเข้าสู่โปรแกรมต่อยอดธุรกิจ ติดสปีดโตไปกับเอพี มุ่งอัปสกิลด้วยองค์ความรู้ใหม่ผ่านความร่วมมือกับ KX Knowledge Xchange ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ SEAC พร้อมเปิดตลาดนำร่องเชื่อมต่อลูกค้า-คู่ค้าที่มีศักยภาพผ่านเอพีคอมมูนิตีกว่า 270 โครงการ

นายพิเชษฐ วิภวศุภกร กรรมการผู้อำนวยการ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกธุรกิจวันนี้คือ “ตลาด” กลายเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลน ด้วยสงครามการค้าและวิกฤตโควิด-19 ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเกิดภาวะหดตัว คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วทางรอดของ SMEs ไทยอยู่ตรงไหน ซึ่งแน่นอนว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ แต่การเดินไปหาโอกาสใหม่ๆ ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้ จำต้องจูงมือเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เอาความแข็งแกร่ง ความชำนาญจากหลายๆ คนมารวมกัน เพื่อเดินไปหาโอกาสใหม่ด้วยความมั่นคง และสร้าง win – win เกมให้เกิดขึ้น ซึ่งในวันนี้บริษัทฯ ยินดีต้อนรับ SMEs ทั้ง 30 บริษัท ผู้ซึ่งมีสินค้าและบริการที่พร้อมเอ็มเพาเวอร์ลูกค้าเครือเอพี เข้าสู่โปรเจกต์ AP ScaleUp ในปีนี้

ซึ่ง เอพี ไทยแลนด์ พร้อมที่จะใช้จุดแข็งในด้านต่างๆ ที่มีในการสนับสนุนและเปิดโอกาสให้แก่ SMEs ทั้ง 30 บริษัทสามารถต่อยอดธุรกิจและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของเอพี คอมมูนิตี ภายใต้การดูแลของ SMART พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ กว่า 270 โครงการ ดูแลคุณภาพชีวิตของลูกบ้านกว่า 80,000 ครอบครัว เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้น ตลอดจนแผนการโค้ชชิ่งที่เตรียมไว้เพื่อ Reskill และ Upskill ความรู้เชิงธุรกิจให้ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนไป โดยได้รับความร่วมมือจาก SEAC ผู้เชี่ยวชาญในการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ และ KX Knowledge Xchange ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

“การกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของโควิด-19 ยิ่งตอกย้ำถึงการคงอยู่ของระลอกคลื่นความเสียหายที่ศูนย์กลางคือการแพร่ระบาด ที่ยังคงสร้างผลกระทบอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งเราเชื่อว่า SMEs ไทยมีศักยภาพ พร้อมเติบโต ถ้ามีโอกาส และได้รับคำแนะนำที่ก้าวทันโลกธุรกิจ ซึ่งเรายินดีที่จะสนับสนุนให้ SMEs ไทยสามารถขยายและต่อยอดธุรกิจท่ามกลางภาวะวิกฤตที่ยังไม่จางหายนี้”

นายณัฏฐ์ณภัทร อาศิรวาทวณิชย์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ็มพูร่า จำกัด ผู้นำด้านสินค้าไอทีและโฮม โซลูชัน กล่าวถึงความรู้สึกในการร่วมเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ AP ScaleUp ครั้งนี้ว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมโปรเจกต์ในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะนำสินค้าและบริการของเราส่งมอบประสบการณ์ที่ไม่ใช่แค่การขายสินค้าให้แก่ลูกค้าเอพี แต่คือการส่งมอบโซลูชันที่พร้อมเอ็มเพาเวอร์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งขอบคุณเอพีที่ให้โอกาสพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วม และสนับสนุนการเติบโตให้แก่ SMEs ไทย ภายใต้เป้าหมาย EMPOWER LVING ของเอพี นอกจากนั้นแล้วยังได้แง่คิดในการฝ่าวิกฤตที่น่าสนใจจากผู้บริหารระดับสูงที่ผ่านมาหลายวิกฤต ตลอดจนแนวคิดในการวางแผนด้านการเงินที่น่าสนใจ

นายวรพจน์ รื่นเริงวงศ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท โชเซ่น เอ็นเนอร์จี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจพลังงานทางเลือก กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน 30 SMEs ซึ่งเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าในวันนี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในประเทศไทย ทางบริษัทฯ พร้อมที่จะเข้ามาให้บริการระบบพลังงานทางเลือกนี้แก่ลูกค้าเอพี รวมถึงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า ตลอดจน Plug In เข้ากับแพตลพอร์มของเอพี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าได้อย่างสูงสุด

นายวันชัย เมธากิตติพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เป็นโครงการที่ดีที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ SMEs ไทย ซึ่ง SMEs ส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณในการทำการตลาด ซึ่ง V Foods เป็นผู้จำหน่วยข้าวโพดพร้อมทาน และ Plant Based โปรตีน โดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ การที่เอพีได้เข้ามาช่วยครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เอพีช่วยทั้ง SMEs และเกษตรกรไทยทั้งระบบ

เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป มั่นใจว่า ‘AP ScaleUp’ จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เอ็มเพาเวอร์ให้ SMEs ก้าวทันทักษะแห่งโลกอนาคตได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมช่วย SMEs พัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบตรงโจทย์ ครองใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปในเอพีคอมมูนิตี

รับชม VDO ภาพรวมบรรยากาศงาน ‘AP ScaleUp 2021 Batch 1’ ที่
https://www.youtube.com/watch?v=hV8_C2nc3YI

เอพี ไทยแลนด์ ภายใต้พันธกิจ ‘EMPOWER LIVING’
มุ่งส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้

#เอพี ไทยแลนด์ #โควิด #SMEs