“IKEA PLANNING STUDIO” สตูดิโอออกแบบและบริการอิเกียครบวงจร เพิ่มความสะดวกสบายเอาใจลูกค้าชาวไทย

อิเกีย ประเทศไทย นำโดย มร. ทอม ซูเทอร์ (กลาง) ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่เดินหน้าเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าชาวไทยออกแบบบ้านในฝันได้ง่ายยิ่งขึ้น ประเดิมเปิด “IKEA Planning Studio” ที่อิเกีย บางใหญ่ ศูนย์บริการครบวงจรสำหรับสมาชิก IKEA Family ได้แก่ บริการออกแบบสินค้า ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย, บริการชำระสินค้าและค่าบริการต่างๆ (บริการช่วยหยิบสินค้า, บริการจัดส่งและประกอบสินค้า, บริการวัดพื้นที่ และบริการติดตั้ง) รวมถึงบริการที่ปรึกษาสำหรับธุรกิจขนาดต่างๆ (B2B) ครบจบทุกอย่างในที่เดียว

โปรโมชั่นพิเศษต้อนรับ “IKEA Planning Studio” ที่อิเกีย บางใหญ่ วันที่ 1 เมษายน – 4 พฤษภาคมนี้เท่านั้น เมื่อใช้บริการออกแบบและซื้อสินค้าจากซีรีส์ METOD/เมท็อด, ชุดตู้เสื้อผ้า PAX/พักซ์ และชุดตู้เก็บของ BESTA/เบสตัว ครบทุก 10,000 บาท (รวมถึงไฟต่างๆ) รับบัตรของขวัญอิเกียมูลค่า 1,000 บาท (ไม่จำกัดยอดค่าใช้จ่ายสูงสุด)

มร. ทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ กล่าวว่า “บริการออกแบบอิเกียได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เราจึงได้ปรับรูปแบบการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น เริ่มต้นที่อิเกีย บางใหญ่ โดยจัดสรรพื้นที่ใหม่ เปิด “IKEA Planning Studio” รวมบริการออกแบบของห้องครัว ห้องนั่งเล่น และตู้เสื้อผ้าเอาไว้ด้วยกัน รวมถึงบริการต่างๆ เช่น ชำระเงิน บริการจัดส่งและติดตั้ง ฯลฯ ไว้ในที่เดียว ช่วยประหยัดเวลา และยังมีผู้เชี่ยวชาญของอิเกียช่วยดูแลและให้คำแนะนำแต่งบ้านในฝัน พร้อมด้วยพื้นที่รับรองและมุมของเล่นเด็กสำหรับลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว IKEA Planning Studio เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจจริงของอิเกีย ที่จะพัฒนาบริการต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกและให้ลูกค้าชาวไทย เข้าถึงแรงบันดาลใจดีๆ มีบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการและการใช้งานของทุกคนในบ้านได้ง่ายขึ้น รวมถึงบริการที่ปรึกษาสำหรับธุรกิจขนาดต่างๆ (B2B) หรือ IKEA For Business ก็ผนวกรวมมาอยู่ที่ IKEA Planning Studio โดยจะมีทีมงานดูแลโดยเฉพาะ และมีนักออกแบบตกแต่งภายในให้คำแนะนำ ทำงานร่วมกับทีมของลูกค้าอย่างใกล้ชิด”

ขั้นตอนการใช้บริการ IKEA Planning Studio

เตรียมขนาดพื้นที่ห้องที่ต้องการออกแบบพร้อมด้วยบัตรสมาชิก IKEA Family ไปที่ IKEA Planning Studio ตั้งอยู่โซนโชว์รูมห้องนอน ชั้น 3A อิเกีย บางใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก IKEA Family สามารถสมัครได้ฟรี และใช้บริการได้ทันที

กดบัตรคิวเลือกบริการที่ต้องการ ได้แก่ บริการออกแบบชุดครัว, บริการออกแบบชุดตู้เสื้อผ้า, บริการออกแบบชุดวางทีวี, บริการติดตั้งชุดครัวและห้องน้ำ และบริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์

เมื่อถึงคิว ผู้เชี่ยวชาญของอิเกียจะช่วยให้บริการออกแบบและให้คำแนะนำในการเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับพื้นที่ การใช้งาน และฟังก์ชั่นต่างๆ บริการออกแบบฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อเสร็จแล้วจะพิมพ์แบบพร้อมด้วยรายการสินค้า และคู่มือต่างๆ เพื่อให้ลูกค้านำไปประกอบการตัดสินใจ (ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจและชำระเงินทันที) ทั้งนี้ อิเกียจะเก็บข้อมูลไว้เพื่อให้ลูกค้าสามารถกลับมาใช้บริการในครั้งต่อไปได้

กรณีที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า สามารถชำระเงิน (ไม่รับเงินสด) และติดต่อบริการต่างๆ ได้จากที่ IKEA Planning Service ครบจบที่เดียว

“IKEA Planning Studio ที่อิเกีย บางใหญ่ เป็นสตูดิโอออกแบบแห่งแรกในโลกที่ตั้งอยู่ในสโตร์อิเกีย และในอนาคตก็จะเปิดให้บริการที่สโตร์อื่นๆ เช่นกัน” มร. ทอม กล่าว

IKEA Planning Studio ที่อิเกีย บางใหญ่ เปิดให้บริการสำหรับลูกค้า IKEA Family ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป และบริการสำหรับลูกค้า IKEA For Business เปิดทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 – 18.00 น. โดยสามารถนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ ikeabusiness.th@ikano.asia

BAAN 365 RAMA III By LPN จัดแคมเปญใหญ่ จองบ้านพร้อมรับรถหรูมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท* ภายในเดือนเม.ย.นี้

BAAN 365 RAMA III โดยบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) ส่งมอบเอกสิทธิ์พิเศษแห่งการใช้ชีวิตเหนือระดับ ภายใต้แนวคิดโครงการ Livable Simple Luxury House เรียบง่ายแต่พิถีพิถันกับทุกรายละเอียดและให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยจริง

พบกับข้อเสนอสุดพิเศษให้กับผู้ที่จองซื้อบ้าน 365 พระราม 3 ภายในเดือนเมษายนนี้ ได้ร่วมสัมผัสและเป็นเจ้าของโครงการบ้านหรูพร้อมอยู่ ใจกลางเมือง จองบ้านวันนี้ พร้อมรับรถหรูป้ายแดง THE NEW BMW 5 SERIES หรือ THE BMW X7 มูลค่าสูงสุดกว่า 6 ล้านบาท* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2564

สำหรับแคมเปญในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงภาพลักษณ์ในตลาดกลุ่มพรีเมียม เพื่อต้องการมอบสิ่งพิเศษที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าคนสำคัญ ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย ได้เป็นเจ้าของโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดใจกลางเมือง กับ “บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมหรูพร้อมอยู่” ที่มีความ “เรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ ในราคาเริ่มต้นที่ 25 -110 ล้านบาท*

สำหรับบ้านเดี่ยว จะมีรูปแบบ 3 ชั้น แบ่งเป็น 3 สไตล์ ได้แก่ The Garden Villa พื้นที่ใช้สอย 340 ตารางเมตร ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวในบริเวณบ้าน The Pool Villa พื้นที่ใช้สอย 490 ตารางเมตร เหมาะกับผู้ที่ต้องการสระว่ายน้ำส่วนตัว และ The Pavilion Villa พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 520 ตารางเมตร เป็นแปลงที่ดินพิเศษ มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และสระว่ายน้ำส่วนตัว โดยบ้านเดี่ยวทุกหลังมีลิฟท์อำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัย

ส่วนทาวน์โฮมนั้น มีพื้นที่ใช้สอย 310-320 ตารางเมตร ความสูง 4 ชั้นครึ่ง (3 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 1 ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหารและครัวไทย) รวมถึงฟังก์ชันบ้านพร้อม Living & Dining Hall แบบ Double Volume Space และห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นมุมสำหรับจัดปาร์ตี้สังสรรค์สำหรับเพื่อนๆ หรือจะเป็นมุมพักผ่อน นั่งเล่น มาพร้อมพื้นที่ Sky Terrace บนชั้นดาดฟ้า ที่มีความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรศัพท์ LPN Call Center 02-689-6888 หรือ Facebook : BAAN 365 หรือ http://www.BAAN-365.com

“ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา” ร่วมกับ “สโมสรฟุตซอลบลูเวฟชลบุรี” สนับสนุนเยาวชนไทยเล่นฟุตซอล ยกระดับสู่การแข่งขันนานาชาติ

ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ไลฟ์สไตล์มอลล์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โดย นายไพรัช รัตตัญญู ผู้จัดการฝ่ายขายพื้นที่เช่าศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ร่วมกับ นายธัชพัทธ์ เบ็ญจศิริรวรรณ ประธานสโมสรฟุตซอลบลูเวฟชลบุรี จัดกิจกรรม “Bluewave Academy @THE STREET RATCHADA” เพื่อฝึกสอนการเล่นกีฬาฟุตซอลขั้นพื้นฐานและจัดการแข่งขันให้กับเยาวชนอายุ 8-14 ปี ไม่จำกัดเพศ สร้างโอกาสให้เยาวชนได้พัฒนาศักยภาพทางด้านกีฬาฟุตซอลของตนเองไปสู่นักกีฬาอาชีพได้ ณ The Street Arena ชั้น 5 ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา

ทั้งนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการฝึกฝนอย่างใกล้ชิดกับโค้ชทีมชาติ นำโดยหัวหน้าผู้ฝึกสอน มร.คาร์ลอส เซซ่าร์ นูเนส กาโก้ ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู นายภัฏ ศรีวิจิตร และโค้ชท่านอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ นายกฤษดา วงษ์แก้ว และ นายมูฮัมหมัด อุสมานมูซา

ทางศูนย์การค้าฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เยาวชนไทยออกกำลังกายด้วยกีฬาฟุตซอล จึงได้สนับสนุนพื้นที่ภายในศูนย์การค้าฯ ทุกๆ วันอาทิตย์ เวลา 13.00-15.00 น. ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 16 พฤษภาคม 2564 เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานการเล่นกีฬาฟุตซอล และนำไปต่อยอดการแข่งขันระดับกีฬาอาชีพหรือการแข่งขันระดับนานาชาติ ร่วมผลักดันให้เยาวชนนำความสามารถด้านกีฬาไปคัดเลือกเข้าสถานศึกษา ทั้งในระดับมัธยมและระดับมหาวิทยาลัยได้ เยาวชนผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านทางสโมสรฟุตซอลบลูเวฟชลบุรี ติดต่อ คุณสุไรดา บาราสัน โทร. 087-102-9151.

PF-GRAND ปี64เดินหน้าสู่โหมด“เทิร์นอะราวด์”ปรับกลยุทธ์ ขายที่ดินและการลงทุน 20,200 ล้าน จับธุรกิจใหม่กำไรสูง

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” และ “แกรนด์ แอสเสท” เผยแผนปี 2564 เทิร์นอะราวด์ด้วยการปรับกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจ ขายที่ดินและการลงทุน รวม 20,200 ล้าน เพื่อทำกำไรและลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้เหลือ 1.2 เท่า พร้อมก้าวสู่ธุรกิจใหม่กำไรสูงดีมานด์สูงผลิตส่งออกถุงมือยาง ด้านธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ เพอร์เฟค ตั้งเป้าขาย 17,300 ล้าน แกรนด์ แอสเสทฯ วางเป้า 1,100 ล้าน คาดรายได้ทั้งกลุ่มปีนี้แตะระดับ 21,370 ล้าน ขณะที่จะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนและธุรกิจถุงมือยางอีก 7,000 ล้าน

นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินงานปี 2564 ว่า กลุ่มบริษัทวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงาน เพื่อพลิกกลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความมั่นคงทางการเงิน โดยมีแผนทั้งการขายที่ดินที่ไม่มีแผนพัฒนาโครงการและสิทธิการเช่า รวมถึงขายการลงทุนในโรงแรมและจัดตั้งกองทรัสต์ รวม 20,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวทางที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้น ต้นทุนทางการเงินลดลง และลดภาระหนี้ โดยตั้งเป้าหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ระดับ 1.2 สำหรับธุรกิจหลักจะขับเคลื่อนให้มีรายได้เติบโต สานต่อโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ โดยบริษัทไม่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันนับจากปี 2562

“ในปีนี้ กลุ่มบริษัทยังขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งมีดีมานด์สูงและกำไรสูงได้แก่ ธุรกิจผลิตและส่งออกถุงมือยาง ที่จะช่วยเสริมสร้างรายได้ในระยะยาว โดยประมาณการรายได้รวมปีนี้จะอยู่ที่ 21,370 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 13,070 ล้านบาท แกรนด์ แอสเสทฯ 2,100 ล้านบาท และรายได้จากการขายที่ดินและการลงทุน 6,200 ล้านบาท ขณะที่ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4,000 ล้านบาท และธุรกิจถุงมือยาง 3,000 ล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ปีนี้วางเป้าขาย 17,300 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมในประเทศ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมประเทศญี่ปุ่น 800 ล้านบาท จากการที่เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวลดลง บริษัทจึงชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเปิดเพิ่ม 6 โครงการ มูลค่า 9,930 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด สำหรับโครงการร่วมทุนที่จะเปิดตัวใหม่ในปีนี้ เป็นการร่วมทุนกับ ฮ่องกงแลนด์ ตั้งอยู่บนทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ในคอนเซ็ปท์บ้านริมทะเลสาบขนาด 100 ไร่ มูลค่าโครงการ 5,100 ล้านบาท รวมถึงยังจะสร้างยอดขายต่อเนื่องจาก 2 โครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ และ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี และโครงการในโซนกรุงเทพตะวันตก ที่จะได้รับอานิสงส์จากการเปิดตัวของห้างสรรพสินค้าและโรงเรียนนานาชาติแห่งใหม่ และรถไฟฟ้าสายสีชมพู

ปีนี้ บริษัทยังมีสินค้าใหม่เซกเมนต์ใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นและโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ใจกลางเมืองทำเลพหลโยธินเพิ่มเติม สำหรับแนวคิดการพัฒนาโครงการ นอกจากการพัฒนารูปแบบบ้านให้รองรับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่แล้ว ปีนี้ยังเพิ่มบริการด้านต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภค อาทิ การให้ลูกบ้านสามารถใช้บริการพื้นที่ทำงาน (Work from Hotel) ได้ทุกโรงแรมในเครือแกรนด์ แอสเสทฯ รองรับการติดตั้ง EV Charger ด้วยการเดินระบบไฟ และติดตั้ง VDO Doorbell ในโครงการเปิดใหม่ ร่วมกับ AIS ให้บริการสัญญาณ AIS 5G ที่โรงแรมและโครงการต่างๆ เป็นต้น

ด้าน นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ แกรนด์ แอสเสทฯ วางเป้าขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,100 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 500 ล้านบาท และ วิลล่าในจังหวัดระยอง 600 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรม สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบอย่างมากกับธุรกิจท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้ของโรงแรมปีที่ผ่านมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก สำหรับปีนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในครึ่งปีหลัง โดยประมาณการรายได้ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก แผนการดำเนินงานในปี 2564 จึงยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดชาวไทยท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ตั้งเป้าให้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีที่ 50%

นอกเหนือจากธุรกิจหลักแล้ว บริษัทยังรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่และสร้างกำไรให้เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยเห็นโอกาสจากความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท วัฒนชัย รับเบอร์เมท จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือยาวนานทั้งในและต่างประเทศ จัดตั้ง บริษัท แกรนด์ โกลบอล โกลฟส์ จำกัด (GGG) เพื่อผลิตและจำหน่ายถุงมือยางสังเคราะห์ (Nitrile) ภายใต้แบรนด์ GGG สู่ตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีอัตราการใช้ถุงมือยางสูง เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น โดยได้ลงทุนสร้างโรงงานบนเนื้อที่ 21 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 2 อาคาร ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารหลังแรก ที่มี 8 สายการผลิต มีกำลังการผลิต 21 ล้านกล่องต่อปี หรือ 2,100 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนเมษายนนี้ และเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนพฤษภาคมนี้

ส่วนอาคารหลังที่ 2 มีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้ มีจำนวนเครื่องจักร 8 เครื่อง กำลังการผลิตรวม 21 ล้านกล่องต่อปี นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตถุงมือยางธรรมชาติควบคู่ไปกับถุงมือยางไนไตรล์ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลก โดยรายได้จากธุรกิจถุงมือยางในปีนี้ประมาณการไว้ที่ 3,000 ล้านบาท.

ทีเอ็มบีและธนชาต จับมือเชฟดัง เปิดคลาสเรียนทำอาหารและเบเกอรี่ฟรี! ในโครงการจุดประกายทำขาย “ให้” เป็น

นางสาวมาริสา จงคงคาวุฒิ (กลาง) หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารกิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืนทีเอ็มบีเปิดตัวกิจกรรมจุดประกาย ทำขาย “ให้” เป็นจัดโดยไฟ-ฟ้า โครงการแห่งการให้ที่ยั่งยืนโดยทีเอ็มบีและธนชาต เปิดคลาสครัวสอนทำอาหารและเบเกอรี่ฟรี! พร้อมเชิญ2 เชฟชื่อดัง เชฟชุมพล แจ้งไพร ,เชฟ 2 Michelin Star Chef, Founder & CEO Thai Cuisine Academy และทูตอาหารยั่งยืน แห่งสหประชาชาติ FeedUp@UNและเชฟลัท – รภัสสรณ์ จิรจุรีย์ชัยมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ร่วมถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนว่างงานหรือขาดรายได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยติดอาวุธเสริมความรู้ให้ผู้ร่วมกิจกรรม ทำเป็น ขายเป็น สามารถต่อยอดสร้างโอกาสทางอาชีพพร้อมจุดประกายแนวทางส่งต่อการ“ให้”เพื่อช่วยเหลือชุมชนและสังคมต่อไป ณ ศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ถนนประดิพัทธ์เมื่อเร็ว ๆ นี้


FAIFAHForCommunity #เปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น

TMB #ThanachartBank #MakeREALChange


ธอส.เสนอบอร์ดเคาะ’บ้านล้านหลัง’เฟส2 วงเงิน 3.6 หมื่นลบ.บิ๊กอสังหาฯผุดโครงการเข้าร่วม

ธอส.สานต่อโครงการ’บ้านล้านหลัง’เฟส 2 ขออนุมัติบอร์ดไม่เกินไตรมาส 2 ปี 64 เพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อรวม 36,000 ล้านบาท ยืดโครงการสิ้นสุดปี 2567 พร้อมปรับอัตราดอกเบี้ยคงที่เหลือ 2% ในระยะ 3 ปีแรก คาดเสนอบอร์ดไม่เกินไตรมาส 2 ปีนี้ หวังช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย ด้านบริษัทอสังหาฯเข็นโครงการเข้าร่วม

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ”บ้านล้านหลัง”ว่า อยู่ระหว่างการเสนอต่อคณะกรรมการธนาคารฯ(บอร์ดธอส.)เพื่อพิจารณาในการสานต่อโครงการในเฟสที่ 2 โดยจะขยายใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.เพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อจากเฟส 1 ที่มีวงเงินอยู่ 50,000 ล้านบาท เพิ่มเป็นอีกปีละ 12,000 ล้านบาท ตลอด 3 ปี รวมเป็น 36,000 ล้านบาท 2.ขยายระยะเวลาโครงการจากเดิมที่จะสิ้นสุด ณ สิ้นปี 2564 นี้ ขยยไปสิ้นสุดโครงการปี 2567

และ 3.ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในโครงการ จากเดิมดอกเบี้ยคงที่ 1-5 ปีแรก ที่ 3% สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1-3 ปี สำหรับผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ต่ำกว่า 3% (เหลือ 2%) เพื่อให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยในตลาดปัจจุบัน

“การลดดอกเบี้ย จะช่วยเหลือผู้กู้ได้ค่อนข้างมาก อัตราการผ่อนจะลดลงเหลือเพียง 2,000 กว่าบาทเท่านั้นต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท จากเงื่อนไขที่การผ่อนชำระบนอัตราดอกเบี้ยคงที่เดิม 3 ปี ที่ระดับ 3% จะทำให้ผู้ผ่อนชำระผ่อนบ้านต่อเดือนอยู่ที่กว่า 3,000 บาท”

การขยาย 3 เงื่อนไขในโครงการบ้านหลังแรก ในเฟส 2นี้ หลักๆก็เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยมากขึ้น ปิดช่องว่างด้านความเหลื่อมล้ำของผู้มีรายได้น้อยให้ลดลงได้ อีกทั้ง ยังสนับสนุนให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และผ่อนชำระค่างวดบ้านในอัตราที่ต่ำลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติเห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข “โครงการบ้านล้านหลัง” กรณีลูกค้ารายย่อย โดยปรับเพิ่มราคาซื้อขายและวงเงินกู้ที่อยู่อาศัยเป็น ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท จากเดิม 1 ล้านบาท เพื่อให้เหมาะสม กับราคาซื้อขายของอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ประกอบกับรัฐบาลได้มีการประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองเหลือรายการละ 0.01% ที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท

โดยในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการภาคอสังหาฯมีความเคลื่อนไหวในการเข้ามา “ชิงเค้ก” บ้านล้านหลังเป็นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมมีผู้เล่นเพียงไม่กี่รายที่ยังพัฒนาโครงการดังกล่าวป้อนออกสู่ตลาดอย่างชัดเจน เช่น บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ ผู้พัฒนาโครงการรีเจ้นท์ โฮม ป้อนโครงการบ้านต่ำล้านเข้าร่วมโครงการธอส.มาแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 หน่วย และมีแผนจะผลิตป้อนอีกไม่ต่ำกว่า 20,000 หน่วย

ขณะที่ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประกาศชัดเจน จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดดังกล่าว โดยพัฒนาโครงการห้องชุดระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท เข้าสู่ตลาดแล้ว 4-5 โครงการ และในปี 2564 จะขยายเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เช่นเดียวกับ บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่ส่งคอนโดพลัม แบรนด์คอนโดราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทเข้าสู่ตลาด รวมถึง บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่เดิมเคยมีฐานลูกค้ากลุ่มบ้านราคาถูก ก็หันมาพัฒนาโครงการเพิ่มเติมในปี 64.

ซีอาร์ซี ไทวัสดุ เปิด“ศูนย์ Contact Centerไทวัสดุ เพื่อคนพิการ”สร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน

บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทลร่วมกับ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการจัดพิธีเปิด“ศูนย์ Contact Centerไทวัสดุ เพื่อคนพิการ”อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน, นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีพร้อมด้วย นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล และ บาทหลวงสุขุม ธนะสิงห์รองประธาน มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด“ศูนย์ Contact Centerไทวัสดุ เพื่อคนพิการ”ณ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการเมืองพัทยาจ.ชลบุรี

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทลกล่าวถึงการเปิด“ศูนย์ Contact Centerไทวัสดุ เพื่อคนพิการ”ในครั้งนี้ว่า“ซีอาร์ซี ไทวัสดุ เราดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้แบรนด์ไทวัสดุบ้านแอนด์บียอนด์ วีฟิกซ์ และออโต้วัน ตระหนักถึงพันธกิจหลักของการดำเนินธุรกิจขององค์กรตามหลักธรรมาภิบาล มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการจัดโครงการซีเอสอาร์ต่างๆ ที่เป็นการช่วยเหลือสังคมชุมชนทั้งทางตรงและทางอ้อม มาอย่างต่อเนื่อง

…จะเห็นได้ว่าสังคมมักมองผู้พิการว่าเป็นภาระของทั้งผู้ดูแลและสังคม การให้ความช่วยเหลือคนพิการในอดีตที่ผ่านมาจึงมักอยู่ในรูปของการสงเคราะห์ด้วยเงินหรือทรัพย์สินต่างๆ ต่อมาจึงมีการนำเสนอแนวคิดใหม่ว่าการช่วยเหลือผู้พิการที่เหมาะสม ควรเป็นการส่งเสริมให้ผู้พิการสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง ด้วยการพัฒนาหรือส่งเสริมทักษะด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานหาเลี้ยงชีพ โดยไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่น ซึ่งการบริการลูกค้าในรูปแบบ Call Center นับเป็นงานที่สำคัญและมีคุณค่า ไม่เฉพาะต่อลูกค้า หรือองค์กร แต่ยังรวมถึงความภาคภูมิใจของผู้ให้บริการ

ดังนั้น องค์กรธุรกิจหรือหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือภาคเอกชน จึงให้ความสำคัญต่อการบริการลูกค้าผ่าน Call Center มากขึ้นเป็นลำดับ และที่ผ่านมา เราพบว่าการพัฒนาบุคลากรเพื่อเข้าสู่งานบริการลูกค้ามิได้จำกัดอยู่แต่ในคนที่มีร่างกายปกติเท่านั้น แต่ผู้พิการทางกายที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ก็สามารถทำงานให้บริการในรูปแบบ Call Center ได้ หากได้รับโอกาสและการพัฒนาทักษะที่ถูกต้องเหมาะสม

ซีอาร์ซี ไทวัสดุ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการอย่างยั่งยืน เรามุ่งมั่นที่จะขยายโอกาสและสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกคนในสังคม โดยเฉพาะกับผู้พิการ เรามองว่ากลุ่มผู้พิการนั้นไม่ใช่ภาระของสังคม แต่เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศที่สำคัญอีกกลุ่มด้วย ในการนี้เราจึงได้ดำเนินการเปิด“ศูนย์ Contact Center ไทวัสดุ เพื่อคนพิการ” โดยมีวัตถุประสงค์ ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ เน้นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ผู้พิการในสังคม พร้อมสนับสนุนให้ผู้พิการมีโอกาส ใช้ความสามารถของตนเองในการสร้างรายได้และพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้เกิดการยอมรับในฝีมือแรงงานของผู้พิการ และ สร้างการรับรู้สู่สาธารณะ

ซึ่งการจ้างงานผู้พิการเข้าทำงานกับ ซีอาร์ซี ไทวัสดุ นั้น เราได้เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี2557 โดยในปีแรกได้เริ่มสนับสนุนการฝึกอบรมหลักสูตรคอลเซ็นเตอร์ ต่อมาในปี 2558 ได้ดำเนินโครงการตั้งศูนย์ฝึกอาชีพ (Contact Center) ที่มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ จังหวัดชลบุรีด้วยการติดตั้งระบบโทรศัพท์ที่ทันสมัย เชื่อมโยงกับระบบหลักในการบริการลูกค้าของบริษัทฯ เพื่อให้ผู้พิการใช้เป็นสถานที่ในการรับโทรศัพท์จากลูกค้าในเครือเซ็นทรัลรีเทล พร้อมกันนี้ได้จัดผู้เชี่ยวชาญให้การฝึกอบรมผู้พิการ ให้สามารถใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ได้

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า“ศูนย์ Contact Center ไทวัสดุ เพื่อคนพิการ”แห่งนี้ จะเป็นสถานที่ที่ให้ผู้พิการมีแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพและมีโอกาสในการเข้าสู่การมีงานทำในตลาดแรงงานมีรายได้ในการช่วยเหลือตนเองและช่วยลดภาระของผู้ดูแลอีกทางหนึ่ง อีกทั้งเป็นตัวอย่างให้กับสังคม และภาคส่วนอื่นๆได้เห็นเป็นแบบอย่าง ถึงการนำเอาศักยภาพที่แต่ละองค์กรมีมาร่วมกันช่วยเหลือกลุ่มผู้พิการให้มีการพัฒนาศักยภาพของตนเอง มีงานทำ สร้างให้เกิดอาชีพ และสร้างให้เกิดรายได้ ที่ยั่งยืนต่อไป โดย“ศูนย์ Contact Center ไทวัสดุ เพื่อผู้พิการ”แห่งนี้ตั้งอยู่ ณมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เมืองพัทยาจ.ชลบุรี ปัจจุบันมีการจ้างงานผู้พิการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ Call Centerแล้วทั้งสิ้นจำนวน 45คนซึ่งเรายังสามารถรองรับการจ้างงานผู้พิการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ Call Center ได้ถึง70 อัตราเลยทีเดียวพร้อมแล้วที่จะให้บริการลูกค้า ตอบคำถาม หรือให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์ ในเรื่องต่างๆ ที่ลูกค้าต้องการทราบ ทั้งเรื่องสินค้า และการบริการต่างๆของ ซีอาร์ซี ไทวัสดุ”

ด้านบาทหลวงสุขุม ธนะสิงห์รองประธาน มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการได้กล่าวเพิ่มเติมว่า“ในนามมูลนิธิฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมือกับทางบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ในครั้งนี้ พร้อมกันนี้ก็รู้สึกดีใจ และภูมิใจแทนกลุ่มผู้พิการ ที่ได้รับโอกาสอันดี ได้เป็นส่วนหนึ่งในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ Call center ขององค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ สร้างแรงผลักดัน และสร้างกำลังใจอันดีให้แก่ผู้พิการ ทำให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ว่า พวกเขามีความพร้อมที่จะปฏิบัติงาน มีความสามารถ เป็นบุคคลคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการทำงานไม่ต่างไปจากบุคคลทั่วไปสามารถหารายได้ เลี้ยงตัวเอง ด้วยความรู้ ความสามารถที่ได้เรียนรู้ และฝึกฝนมามูลนิธิฯ ขอขอบคุณทางบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ที่เล็งเห็น และให้ความสำคัญในการส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้พิการ.

มั่นคงฯ -กฟภ.ร่วมลงนามสัญญาให้บริการติดตั้ง “Solar Rooftop”

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) และ นายเลิศชาย แก้ววิเชียร (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้ว่าการธุรกิจและการตลาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมลงนาม สัญญาให้บริการ โครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ณ โครงการ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ โดยมี นายจรัล ตั้งวงศ์ชูเกตุ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายบริการวิศวกรรม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายสุวัฒน์ อมรรุ่งโรจน์ (ขวาสุด) ผู้จัดการทั่วไปสนามกอล์ฟฟลอร่า วิลล์ แอนด์ คันทรี คลับ ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม ณ ห้องประชุม สรก.(ธต) ชั้น 4 อาคาร LED การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) เมื่อวันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564