ฟัลครัมฯเดินหน้าสร้างโครงการ’พา นารา@Greter Bangna’บ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ เปิดขายกลางปี64

“ฟัลครัม เวนเจอร์ส” บริษัทร่วมทุนสิงคโปร์-ไทย เผย พานารา เทพารักษ์ ยอดขายไตรมาสแรกรวม 200 ล้านบาท เตรียมพร้อมเดินหน้าเปิดขายโครงการพานารา @Greater Bangna บ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ มูลค่ารวม 2,400 ลบ.กลางปี 64

นายสมศักดิ์ ศรีคุรุวาฬ ผู้อำนวยการ บริษัท ฟัลครัม เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 64 จากยอดขายโครงการพานารา เทพารักษ์ บ้านเดี่ยวคุณภาพติดถนนใหญ่เทพารักษ์ สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 200 ล้านบาท โดยมาจากการเปิดขายเฟสสอง จำนวน 20 ยูนิต ปัจจุบันมีความคืบหน้าด้านการก่อสร้างไปอย่างมาก ทั้งตัวบ้านลูกค้าและพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อการโอนส่งมอบบ้านให้ลูกค้าเฟสแรก

นอกจากนั้นบริษัทฯ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โครงการพานารา@Greter Bangna ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการที่ 2 ของบริษัท ตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กม.13 เขตลาดกระบัง พื้นที่ 56 ไร่ โดยเป็นโครงการบ้านสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ขนาด 50-150 ตารางวา ราคา 7-18 ล้านบาท จำนวนรวม 227 ยูนิต แบ่งเป็น 4 เฟส มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายภายในกลางปีนี้

นายมิฮาย โอลเทียลนุ หัวหน้าฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟัลครัม เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า โปรโมชั่นการตลาดที่ผ่าน บริษัทฯ ได้จัด Songkran Special Promotion สำหรับลูกค้าทำสัญญาภายในวันที่ 30 เมษายน จะได้รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ! เพิ่มจาก on top ต่อแรก ฟรี!ค่าธรรมเนียมโอน และต่อสอง รับ iPhone 12 Pro Max หรือแลกเป็นส่วนลดเงินสดเพิ่มได้ 50,000 บาท ซึ่งใช้มาตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมานั้น “ได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ มีลูกค้าเยี่ยมชมโครงการมากขึ้น จึงขอย้ำเตือนลูกค้ารีบตัดสินใจก่อนหมดโปรโมชั่นภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้เท่านั้น

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการระบาดระลอกใหม่จากคลัสเตอร์สถานบันเทิงในขณะนี้ ส่งผลให้ประเทศ ไทยมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุหลักพันหลายวันติดต่อกัน ในส่วนบริษัทฯ ยังคงยึดหลักปฏิบัติ “มาตรการไม่ประมาทการ์ดไม่ตก” โดยเจ้าหน้าที่ประจำโครงการพานารา เทพารักษ์ รวมถึงลูกค้าที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการต้องสวมหน้ากากอนามัย มีการวัดอุณหภูมิ มีแอลกอฮอล์เจลให้บริการ เจ้าหน้าที่จะจัดคิวลูกค้าในการเยี่ยมชมบ้านเพื่อรักษาระยะห่าง รวมถึงมีการทำความสะอาดพื้นที่ตลอดทั้งวัน ลูกค้าที่จะเข้าชมโครงการจึงมั่นใจได้

“โควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่คนไทยและคนทั้งโลกต้องเผชิญร่วมกัน ในฐานะภาคธุรกิจฟัลครัมฯ พร้อมให้ความร่วมมือและยังคงปฏิบัติตามมาตรการที่ภาครัฐและฝ่ายสาธารณสุขขอความร่วมมืออย่างเข้มงวด เพื่อฝ่าฟันวิกฤตและสถานการณ์ของประเทศและภาคธุรกิจจะได้กลับคืนสู่ปกติโดยเร็วที่สุด” นายมิฮาย กล่าว

บริษัท ฟัลครัม เวนเจอร์จ จำกัด เกิดจากการร่วมทุนระหว่างกรีนฟิลด์ แอดไวซอรี่ (Greenfield Advisory Pte Ltd – Singapore) ประเทศสิงคโปร์กับทุนโรงแรมไทย เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ปัจจุบันเปิดขายเฟสสอง-สาม โครงการพานารา เทพารักษ์ บ้านเดี่ยว 2 – 3 ชั้น ขนาด 50-60 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 182-367 ตร.ม. บนทำเลทอง 30 ไร่ติดถนนเทพารักษ์ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี สมุทรปราการ มี 3 Type ราคา 7-19 ล้านบาท จำนวนรวม 129 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,250 ล้านบาท.

กรุงไทย เปิดบริการ PromptPay Inter โอนไปสิงคโปร์เรทดีกว่าใคร

ธนาคารกรุงไทย เปิดบริการโอนเงินระหว่างประเทศ “PromptPay International”  ภายใต้ความร่วมมือกับธปท.และธนาคารกลางสิงคโปร์ ยกระดับบริการโอนเงินแบบเรียลไทม์ให้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ทำรายการด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Krungthai NEXT ตัดบัญชีเงินโอนผ่าน Inter Wallet รับเรทพิเศษที่เดียว ค่าธรรมเนียมเพียง 75 บาท 

ธนาคารกรุงไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ PromptPay-PayNow ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกลางสิงคโปร์ ในการเชื่อมต่อระบบ PromptPay ประเทศไทยและ  Paynow ของประเทศสิงคโปร์ โดยเชื่อมต่อบริการโอนเงินระหว่างไทยและสิงคโปร์ ด้วยระบบพร้อมเพย์ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือแห่งแรกของโลก  ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ธนาคารได้เปิดตัวบริการโอนเงินระหว่างประเทศ “PromptPay International” ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ทำให้การโอนเงินไปปลายทางสิงคโปร์เป็นเรื่องง่าย  ทำรายการด้วยตนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยปลายทางต้องมีหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่ลงทะเบียน Paynow กับธนาคารดีบีเอส ธนาคารยูโอบี และธนาคารโอซีบีซีในประเทศสิงคโปร์ กำหนดวงเงินโอนได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อวัน หรือ 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ นับเป็นทางเลือกใหม่ในการโอนเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย  รับเงินโอนแบบเรียลไทม์ สามารถตรวจสอบรายการย้อนหลังได้ตลอดเวลา โดยธนาคารมีแผนจะขยายบริการ PromptPay International กับประเทศอื่นในเร็วๆ นี้    

ทั้งนี้ กรุงไทยเป็นธนาคารเดียว ที่สามารถเลือกตัดบัญชีเงินโอนที่ครอบคลุมทั้งบัญชีออมทรัพย์ บัญชีกระแสรายวัน บัญชีเงินตราต่างประเทศ และ Inter Wallet สกุล SGD หรือ บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สกุลต่างประเทศ   ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด  พิเศษลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือเพียง 75 บาทต่อครั้ง จากปกติ 150 บาทต่อครั้ง  วันนี้  – 31 กรกฎาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.krungthai.com หรือ Krungthai Call Center โทร. 02-111-1111

#กรุงไทย #โอนเงินระหว่างประเทศ

แสนสิริ ปรับเป้ายอดขาย–ยอดโอนปี 64 เพิ่มเป็น3.1หมื่นล.ลุยเปิดตัวที่อยู่อาศัยราคาเข้าถึงง่าย

แสนสิริ ประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายจาก 26,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนจาก 27,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท หลังมียอดขายล่าสุด 12,500 ล้านบาทและมียอดโอนอยู่ที่8,100 ล้านบาท ทำผลงานในระดับที่ดีใน 4 เดือนแรกของปี พร้อมออกวิ่งก่อนใคร Speed to Market ปรับตัวให้เร็วรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในปัจจุบัน และการกลับมาของตลาดก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นกลับ เผยไตรมาสสอง เปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ4,300 ล้านบาท เล็งปรับแผนเปิดตัวคอนโดฯปี 64 ระบุมีสต็อกบ้านเดี่ยวในพอร์ต 1,000 ล้านบาท รองรับการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) “SIRI” กล่าวว่า จากการพัฒนาธุรกิจในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา แสนสิริมองเห็นถึงดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ตลาดต้องการและทิศทางตลาดอสังหาฯในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในราคาเข้าถึงได้ ทั้งในช่วงโควิด-19และหลังตลาดฟื้นตัว จึงมีการรุกพัฒนาโครงการพร้อมพิจารณาปรับเป้ายอดขายและยอดโอนปี 64 จากเป้ายอดขายเดิม 26,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนจาก 27,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท หลังมียอดขายล่าสุด 12,500 ล้านบาท และมียอดโอนอยู่ที่ 8,100 ล้านบาท ทำผลงานในระดับที่ดีใน 4 เดือนแรกของปีภายใต้การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งในสภาวะตลาดที่ยังผันผวนสูงในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด

“จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวเร็วรองรับทุกสถานการณ์แสนสิริจึงพร้อม Speed to Market ด้วยการปรับเป้าหมายยอดขายและยอดโอนรองรับการกลับมาของตลาดก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจฟื้นโดยแสนสิริยังคงก้าวไปข้างหน้าด้วย 3 ความหวังแกร่ง“The Year of Hope”เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในความหวังในการมีบ้านที่ปลอดภัยของคนไทย เดินหน้าต่อด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเข้าถึงได้ เปิดตัวโครงการใหม่ที่ราคาเข้าถึงง่าย เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบ้านของคนทุกกลุ่ม ความหวังในการเสริมความแข็งแกร่งของแสนสิริที่ยังคงก้าวเร็วนำหน้าต่อด้วย Speed to Market และความแข็งแกร่งของ Cashflowในปี 2564พร้อมสนับสนุน SME และอุ้มอสังหาฯ รายเล็ก พยุงเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปด้วยกัน และความหวังในการคืนรอยยิ้มสู่ครอบครัวแสนสิริและสังคม” นายอุทัย กล่าว

สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 2 แสนสิริวางแผนเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 4,300 ล้านบาท นอกจากนี้แสนสิริยังเล็งปรับแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมปี 64หลังมองเห็นตลาดคอนโดพร้อมอยู่ ตอบโจทย์ New Normal ในราคาที่ต้องเข้าถึงได้ในทำเลที่ดียังมีศักยภาพ โดยล่าสุด โครงการ The Muve เตรียมเปิดขายในปลายเดือนพ.ค.-มิ.ย.ของปีนี้ เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั้งกลุ่มนักศึกษาและ First Jobber ระดับราคาที่เข้าถึงง่ายเริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท

ในส่วนของกลยุทธ์การตลาดในช่วงโควิด-19 ทุกโครงการของแสนสิริ ยังพร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการในรูปแบบ Private Tour ซึ่งมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยสูงสุดในช่วงโควิด เพียงคลิ๊กลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ก่อนเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบ Appointment Only เพื่อความมั่นใจของลูกค้าที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการ ภายใต้มาตรการเข้มข้นของ “Sansiri Care… เพราะเราห่วงใย” ที่พร้อมยกการระดับดูแลเต็มขั้นในทุกสถานการณ์

แสนสิริมองแง่บวกถึงทิศทางข้างหน้า และต้องปรับตัวให้เร็ว รองรับความต้องการลูกค้าและการกลับมาของตลาดก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นเพื่อพร้อมวิ่งก่อนใครนอกจากนี้แสนสิริยังแข็งแกร่งด้วย Cash flow Strategy จากการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี ทำให้บริษัทมีสต็อกบ้านเดี่ยวเพียงพออีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากสถานการณ์กลับมาฟื้นตัว แสนสิริจะมีที่อยู่อาศัยที่พร้อมรองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากที่สุด แสนสิริยังมียอดขายรอโอน (รวมโครงการร่วมทุน) รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 31,380 ล้านบาท พร้อมสภาพคล่องในมือีกกว่า 15,000 ล้านบาท ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินที่เปรียบเหมือนภูมิคุ้มกันอย่างดีที่ช่วยให้แสนสิริหล่อเลี้ยงธุรกิจโดยไม่สะดุด ไม่ว่าสถานการณ์ใน ปี 2564 จะเป็นอย่างไร”.

#แสนสิริ #โควิด-19 #สต๊อกบ้านเดี่ยว #บีทีเอส

‘ปูนตราเสือ’จับมือ’M-150’อัดแคมเปญ’ฮึดสู้อย่างเสือ หัวใจเกินร้อย’ส่งเสริมการตลาด


ปูนตราเสือ ผู้นำตลาดปูนซีเมนต์ผสมที่ช่างผู้รับเหมาเชื่อมั่นมากว่า 105 ปี จากธุรกิจ Cement and Construction Solution ในเครือเอสซีจี ร่วมกับ เครื่องดื่มให้พลังงาน เอ็ม-150 ผู้นำตลาดเครื่องดื่มให้พลังงาน ที่ครองใจและเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้แรงงานมากว่า 35 ปี จากเครือโอสถสภา จับมือส่งแคมเปญความร่วมมือทางการตลาด “ฮึดสู้อย่างเสือ หัวใจเกินร้อย” ส่งเสริมการขายปูนซีเมนต์ตราเสือ โดยออกเครื่องดื่มให้พลังงาน เอ็ม-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง X ปูนตราเสือ รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น เจาะกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา โดยสามารถร่วมกิจกรรมผ่านแพลทฟอร์มไลน์แต้มเอ็ม เพียงแอดไลน์แต้มเอ็ม และส่งรหัสใต้ฝา เพื่อสะสมแต้มได้ถึง 3 เท่า โดยแต้มเอ็มดังกล่าวสามารถนำไปแลกของพรีเมียมสุดพิเศษ หรือร่วมลุ้นรางวัลใหญ่จากแต้มเอ็มได้ตลอดทั้งปี

นายสยามรัฐ สุทธานุกูล
Chief Marketing Officer ในธุรกิจ Cement and Construction Solution กล่าวว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นบรรยากาศการขายสินค้าปูนซีเมนต์ที่ร่วมรายการ และมอบสิทธิพิเศษให้แก่ช่างปูน ผู้รับเหมา เจ้าของบ้าน ที่ได้สนับสนุนปูนตราเสือตลอดมา ทางแบรนด์จึงขอส่งแคมเปญ “ฮึดสู้อย่างเสือ หัวใจเกินร้อย” โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจเครือโอสถสภา ออก ”เครื่องดื่มให้พลังงาน เอ็ม-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง X ปูนตราเสือ รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น” ผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิด Collaborative Design โดยดึงเอาเอกลักษณ์ของเอ็ม-150 และตราสัญลักษณ์จากโลโก้ปูนตราเสือ ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ดุดัน เต็มไปด้วยพลังสำหรับนักสู

ด้วยหัวใจเกินร้อย มาเป็นเครื่องมือส่งเสริมการขาย ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 64 พร้อมโปรแกรม CRM และสิทธิประโยชน์มากมายสุดพิเศษผ่านแพลทฟอร์มไลน์แต้มเอ็ม นับว่าเป็นความพิเศษสำหรับลูกค้าปูนเสือ ที่จะได้รับแต้มเอ็ม X3 เท่า พร้อมโอกาสในการแลกรับของพรีเมียม เสื้อโปโล เสื้อยืด ที่นำเอาอัตลักษณ์สำคัญของทั้งปูนตราเสือ และเอ็ม-150 มาออกแบบได้ลงตัว สวยงาม สะท้อนความแข็งแกร่งและความภูมิใจในเลือดนักสู้ ผลิตโดย Warrix และกระเป๋าคาดอก ลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่สามารถสะสมแต้มแลกซื้อได้ หรือใช้ลุ้นรางวัลใหญ่ต่าง ๆ ในระบบแต้มเอ็ม

โดยตั้งเป้าหมายช่างก่อสร้าง ผู้รับเหมา จะเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการขายนี้มากกว่า 50,000 ราย และเป็นการสร้างสีสัน กระตุ้นบรรยากาศ ณ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างได้อีกทางหนึ่ง พร้อมกิจกรรมชงชิม ณ ร้านค้า ไซต์งานก่อสร้าง และสร้างการรับรู้ (Visibility) ทั้งในส่วนร้านค้าวัสดุก่อสร้าง และการสนับสนุนที่ดีจากร้านค้าเครือข่ายจากเอ็ม-150 ที่เกิดจากความร่วมมือกันเป็นอย่างดีทั้งจากปูนตราเสือ และทีมเอ็ม-150 ผลักดันในทุกช่องทาง นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือ

ในการสร้างมิติใหม่ในวงการตลาด เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และส่งมอบสิทธิประโยชน์พิเศษที่มากขึ้นแบบเฉพาะ โดยอาศัยการส่งเสริมและการทำงานร่วมกันจากทั้งสองฝ่าย ผ่านจุดแข็งทั้งปูนตราเสือ และ เอ็ม-150 ที่เติมเต็มกันและกัน ให้เกิดแนวความคิดและการต่อยอดทางธุรกิจต่อไปในอนาคต ซึ่งในส่วนของคาดหวังจากโปรแกรมความร่วมมือทางการตลาด ในแคมเปญ “ฮึดสู้อย่างเสือ หัวใจเกินร้อย” นี้ ปูนตราเสือ ตั้งเป้าหมายยอดขายสินค้าที่ร่วมรายการ ปูนซีเมนต์ผสม (เสือ ซีเมนต์ ก่อฉาบเท เสือ ซูเปอร์ และเสือ ฉาบสูตรพิเศษ) สินค้าปูนซีเมนต์สำเร็จรูป เสือ มอร์ตาร์ (เฉพาะฉาบทั่วไป และฉาบอิฐมวลเบา) หรือ กลุ่มสินค้าเสือ กาวซีเมนต์ ให้เติบโตมากกว่า 5-8% ต่อปี โดยเทียบระยะเวลาในช่วงเดียวกันในปี 63”

นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โอสถสภา กล่าวว่า “การร่วมมือกันระหว่างเอสซีจีและโอสถสภาในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของสองบริษัทใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทยมายาวนานกว่า 100 ปี ช่วยสร้างมิติใหม่ทางการตลาด ผ่านแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มช่างและกลุ่มแรงงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าทั้งสองได้อย่างตรงจุด ช่วยต่อยอดและขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขึ้น อีกทั้ง ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของเรา เอ็ม-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง ที่มีส่วนผสมของสุดยอดสมุนไพรไทยอย่างกระชายดำและน้ำผึ้ง ช่วยปลุกพลังความฟิต ให้คุณฮึดสู้กับทุกงาน ผ่านพ้นทุกอุปสรรค ก็เข้ากับความแข็งแกร่งของปูนตราเสือเป็นอย่างดี รวมถึงการผูกแคมเปญเข้ากับแพลทฟอร์มแต้มเอ็มนั้น ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรม ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และสามารถนำข้อมูลที่ได้มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และแคมเปญต่าง ๆ ต่อไป”

นายสรายุทธ จิตจรุงพร Chief Customer Development Officer กล่าวเสริมว่า “เอ็ม-150 เป็นแบรนด์ผู้นำในกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาตลอดและเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ผลผลิตจากการร่วมมือกับปูนตราเสือครั้งนี้ถือเป็นนวัตกรรมครั้งสำคัญที่จะช่วยขยายช่องทางการจำหน่ายให้ถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหลักได้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมกับกระตุ้นดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ผ่านทางช่องทางใหม่ของเครือข่ายปูนตราเสือ ความร่วมมือของแบรนด์ที่เป็นผู้นำจากสองอุตสาหกรรมที่ต่างกัน แต่มีจุดเชื่อมโยงเดียวกัน เป็นการรวมตัวในรูปแบบ 1+1 ที่ให้ผลลัพธ์มากกว่า 2 และยังสะท้อนให้เห็นความก้าวล้ำในด้านความคิดของทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่หยุดคิดและค้นหาสิ่งใหม่เพื่อผู้บริโภคอยู่เสมอ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนารูปแบบความร่วมมือทางการตลาดให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน”

#ฮึดสู้อย่างเสือหัวใจเกินร้อย#tigerbrand

“โฮมโปร”เผยQ1รายได้โต3.3%แม้เจอพิษโควิด-19ต้องปิดบริการ 3 สาขา

โฮมโปรฯ แจงผลดำเนินการไตรมาส 1/64 รายได้รวม 15,832.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 505.27 ล้านบาท หรือเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.30% กำไรสุทธิ 1,362.47 ล้านบาท เติบโต 7.58% แม้ต้นไตรมาสแรกได้รับผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ต้องปิดบริการ 3 สาขาเป็นการชั่วคราว

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจะมีมารการช่วยกระตุ้นการจับจ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการ ม.33 เรารักกัน โครงการเราชนะ ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้บางส่วน แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากกำลังซื้อในภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวได้ทั้งหมด

ขณะเดียวกัน บริษัทฯได้ให้ความร่วมมือดำเนินการสอดคล้องกับมาตรการและคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่างเต็มที่ โดยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศูนย์ราชการจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดระยอง ในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สอง เพื่อช่วยจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ส่งผลให้บริษัทฯ ปิดกิจการชั่วคราวใน 3 สาขา ได้แก่

1.โฮมโปร สาขามหาชัย (ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม-1 กุมภาพันธ์ รวม 44 วัน)
2.โฮมโปร สาขาระยอง (ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม-27 มกราคม รวม 30 วัน)
และ 3.เมกาโฮม สาขาบ้านฉาง (ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม-27 มกราคม รวม 27 วัน) เพราะสถานที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับแหล่งแพร่ระบาด

อย่างไรก็ตาม การปิดสาขาชั่วคราวมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยซึ่งต่ำกว่า 1% ของยอดขายรวม ทั้งนี้ สำหรับยอดขายของสาขาโฮมโปร และเมกาโฮมมีการปรับตัวที่ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 4 ปี 63 ในบางภูมิภาค รวมถึงยอดขายจากช่องทางออนไลน์ที่เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่ายอดขายในจังหวัดที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจะยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม

ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการปิดบริการ บริษัทฯ ได้มีกระบวนการรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในสาขาที่ปิด และสาขาที่ไม่ได้รับผลกระทบ โดยบริษัทฯ มีช่องทางการขายผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน HomePro Application และ Home Service Application พร้อมทั้งเพิ่มรูปแบบการให้บริการเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การให้บริการ Shop4U ที่เสมือนมีผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่วงที่ลูกค้าไม่สามารถออกมาซื้อที่สาขาได้ พร้อมบริการขนส่งสินค้าภายในวันที่มีการสั่งซื้อ (Same Day Delivery) หรือจะเลือกมารับสินค้าที่สาขา (Click and Collect) ก็ได้เช่นกัน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวได้ช่วยรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในช่วงเดือน ก.พ. และ มี.ค. ทำให้ยอดขายสาขาเดิมทั้งธุรกิจโฮมโปรและเมกาโฮมในพื้นที่ต่างๆ ฟื้นตัวได้ดีขึ้นตามลำดับ โดยมีรายได้รวมในไตรมาสที่ 1/64 เป็นจำนวน 15,832.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 505.27 ล้านบาท หรือเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.30%

โดยมีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 3,873.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.02 ล้านบาท หรือ 3.58% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 25.71% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.73% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าขายในกลุ่มของสินค้าที่มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิ 1,362.47 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.58%

#โฮมโปร #โควิด-19 #ปิดสาขา