วิจัยกรุงไทย ชี้’โซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน’แหล่งสร้างรายได้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ คาดมูลค่าตลาด1.37แสนล.

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินตลาดอสังหาฯในช่วงปี 2564-2566 เติบโตไม่ดีเหมือนเคย การแข่งขันในตลาดรุนแรงมีแนวโน้มทำให้อัตรากำไรสุทธิของผู้พัฒนาอสังหาฯ อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งผลักดันให้ธุรกิจมองหาแหล่งรายได้เสริมใหม่ๆ เผยธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้ คาดมูลค่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน มีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่ารายได้ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตเพียง 3.6% ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้าที่เคยเติบโตได้ 7.2% เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศโดนกดดันจากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ไม่เร็วนัก และหนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่ 89.3% ต่อจีดีพี ส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติถูกจำกัดจากมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจที่เคยเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าเช่นกัน

“ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริมของผู้พัฒนาอสังหาฯในปัจจุบัน ล้วนกำลังเผชิญความเสี่ยงจากโควิด-19 ธุรกิจเสริมไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์หรือโรงแรม ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนออฟฟิศสำนักงานให้เช่าที่กำลังถูกดิสรัปจากการเวิร์คฟอร์มโฮมเป็น New Normal จึงเป็นการยากที่ธุรกิจเหล่านี้จะสามารถช่วยประคับประคองผลการดำเนินงานได้ ทำให้มองว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ จำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เสริมใหม่”

ดร.กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมีศักยภาพ ในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯได้ เนื่องจากมูลค่าตลาดมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดย นอกจากกระแสรักษ์โลก และสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการใช้โซลาร์รูฟท็อป มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นมาจากความคุ้มค่าที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาโซลาร์รูฟท็อปที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคารับซื้อไฟที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโควตารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า

“ตั้งแต่ปี 2556 ราคาแผงโซลาร์ในไทยลดลงกว่า 66% ประกอบกับราคารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.2 บาท/หน่วย ทำให้ระยะเวลาคืนทุนจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเร็วขึ้นจาก 17-30.3 ปี ในปี 2556 เหลือ 6.1-13.9 ปี ในปี 2564 และอาจเหลือเพียง 5.3-12 ปี ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้าเนื่องจากราคาแผงโซลาร์ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ประเมินว่ามีครัวเรือนไทยถึง 2.3 ล้านครัวเรือนที่สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปและคุ้มทุนได้ค่อนข้างเร็ว หากครัวเรือนกลุ่มนี้เพียง 20% หันมาติดแผงโซลาร์ก็จะทำให้มูลค่าตลาดสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท”

นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่าจากโครงการก่อสร้างของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คาดว่าจะมีบ้านกว่า 1 แสนหลัง ที่มีโอกาสจะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ มีข้อได้เปรียบในการนำเสนอ solution ให้กับครัวเรือน เนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกบ้านเดิมอยู่แล้ว และยังมีความน่าเชื่อถือซึ่งอาจจะทำให้ลูกบ้านกล้าลงทุนในระบบโซลาร์รูฟท็อปที่มีอายุการใช้งานนานถึง 25 ปี ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ สามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วคือการเป็นพันธมิตรกับบริษัทรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ดังเช่นกรณีของบริษัท Stockland ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ในออสเตรเลีย เป็นต้น.

#โซลาร์รูฟท็อป #บ้านประหยัดพลังงาน #เสนาฯ

NCHโชว์ไตรมาสแรกยอดขายทะลุ 1,000ล.ส่งโครงการใหม่’บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม’เจาะตลาดโซนเหนือ

บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหารายแรกของไทย ที่ได้รับ ISO ส่งแบรนด์ใหม่เจาะตลาดโซนเหนือ รับดีมานด์ทาวน์โฮมโตต่อเนื่อง บ้านเพื่อตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัย บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม เปิดราคาเพียง 1.59 ล้านบาท

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ดีมานด์เพิ่มต่อเนื่องบ้านแนวราบโซนเหนือ ยังถือว่าเป็นทำเลทอง ที่มีความคึกคักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความสะดวกสบายสูง เดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่าย ใกล้ถนนสายสำคัญต่าง ๆ และยังถูกรายล้อมไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเอกชน-รัฐบาล, โรงเรียนนานาชาติ, มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า, และยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง ในอนาคตยังจะมีโครงการ เมกะโปรเจกต์ เกิดขึ้นอีกมากมาย สะดวกสบายการเดินทางสู่เมืองด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงเป็นการยกระดับให้ทำเลโซนลำลูกกา เป็นทำเลทองแห่งใหม่ บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม จึงเป็นโครงการที่พร้อมรองรับครอบครัวเพื่อการอยู่อาศัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่สุด เหมาะสมอย่างมากที่จะซื้อเป็นบ้านหลังแรกของครอบครัว

บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม มาพร้อม 2 แบบบ้าน ทาวน์โฮม และ บ้านแฝด ด้วย Facility ครบคุ้ม พร้อมรองรับ Lifestyle ครอบครัวรุ่นใหม่ มีความพร้อมของคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ระบบน้ำเกลือ ลู่วิ่ง ปั่นจักรยาน พร้อมด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ อีกทั้งการออกแบบที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ทาวน์โฮม สไตล์โมเดิร์น ตอบรับกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท พิเศษสุด ทาวน์โฮมรุ่นพิเศษ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ สามารถจอดรถได้ 2 คัน ราคาเพียง 1.79 ล้านบาท และบ้านแฝด ที่ออกแบบให้เป็นเหมือนบ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน พร้อมห้องนอนผู้สูงอายุ 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้นเพียง 3.19 ล้านบาท ในช่วงเปิดโครงการ สามารถเลือกแปลงสวยทำเลโซนคลับเฮ้าส์ ได้แล้ว วันนี้ พร้อมขอขอบคุณการตอบรับยอดขายที่ดีเกินคาด ลูกค้าให้ความมั่นใจแบรนด์โครงการใหม่ บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม เข้าเยี่ยมชมจองซื้อบ้าน ช่วงเปิดโครงการที่ผ่านมา

#ที่อยู่อาศัยโซนเหนือ #ยอดขายแนวราบ

โฮมโปร จับมือภาครัฐ เสริมกำลังรพ.สนามจ.นนทบุรี ส่งมอบชุดเครื่องนอน เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19ระลอก3

“โฮมโปร” ในฐานะผู้นำด้าน Total Home Solution ส่งมอบชุดเครื่องนอน หมอน และอุปกรณ์ของใช้อื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลสนามจังหวัดนนทบุรี เพื่อเตรียมพร้อมในการรองรับผู้ป่วยโควิด-19 (COVID-19) เป็นอุปกรณ์ในการรักษาผู้ป่วย

นางสาวอิษฏพร ศรีสุขวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ – กลุ่ม Design & Product Development บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวว่า โฮมโปรขอเป็นส่วนหนึ่ง ที่เข้ามาช่วยเสริมอีกแรงในภาวะวิกฤตเช่นนี้ เดินหน้าสนับสนุนช่วยให้คนไทยได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง และผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน ทางโฮมโปรขอขอบคุณความเสียสละการทำงาน ความทุ่มเทของแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ของไทย ที่ต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รักษาดูแลผู้ป่วยให้หาย

โฮมโปร บริจาคชุดเครื่องนอน และอุปกรณ์ของใช้อื่น ๆ อาทิ ท็อปเปอร์ (ที่นอน ) , หมอนหนุน , ปลอกหมอน , แผ่นรองนอน, ผ้าปูเตียง , ผ้าห่ม , ถังขยะ และถุงขยะ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลสนามจังหวัดนนทบุรี ในการรักษา อำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ การบริจาคชุดเครื่องนอนให้กับโรงพยาบาลสนามนนทบุรีในครั้งนี้ จะสามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ 700 เตียง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับโรงพยาบาลสนาม

ทางด้าน นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทาง”โฮมโปร” เป็นอย่างมากที่ให้การสนับสนุนจังหวัดนนทบุรี ผนึกกำลังเพื่อช่วยเสริมบุคลากรทางการแพทย์เป็นอย่างดี โดยได้นำชุดเครื่องนอน และอุปกรณ์ต่างๆ มามอบให้กับทางโรงพยาบาลสนามจังหวัดนนทบุรี และมองเห็นความสำคัญของโรงพยาบาลสนามในครั้งนี้ ที่จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 700 เตียง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เปิดใช้ในล็อตแรก 350 เตียง หากมีผู้ป่วยจำนวนมากเตียงไม่เพียงพอ จะเปิดอาคารเพิ่มเพื่อขยายอีก 350 เตียง ซึ่งจังหวัดนนทบุรี มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน จึงได้เปิดรพ.สนามภายในโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย ขณะนี้เราได้เตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านแล้ว โดยเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นางสาวอิษฏพร กล่าวปิดท้ายว่า โฮมโปรมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ระลอกใหม่ ในฐานะที่เป็นบริษัทคนไทย และได้ดำเนินธุรกิจมายาวนาน จึงตระหนักดีว่า สถานการณ์ที่สำคัญเช่นนี้ โฮมโปรต้องเข้ามาช่วยเหลือตามสรรพกำลังที่มีอยู่ และการรับมือด้านสาธารณสุขมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ร่วมมือกับทางสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าคนไทย และประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน ขอเพียงทุกคน และทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันตามกำลังความสามารถ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็ววันนี้

พฤกษา ฉลองครบรอบ 28 ปี นำความเชี่ยวชาญธุรกิจรพ.ยกระดับการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบเพื่ออนาคต

พฤกษาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งบริษัทฯ ปีที่ 28 ในวันที่ 20 เมษายน 2564 โดยมีนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และนายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ร่วมตอกย้ำวิสัยทัศน์แก่พนักงานเรื่องความมุ่งมั่นเพื่อเป็นผู้นำด้านการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในวันนี้ และอนาคตวันข้างหน้า เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ณ อาคารเพิร์ล แบ็งค็อก

นายทองมา กล่าวว่า พฤกษา ก้าวเป็นผู้นำตลาดในด้านที่อยู่อาศัย เริ่มจากการสร้างและขายทาวน์เฮาส์ ในโครงการบีโอไอ (BOI) เพื่อสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ด้วยการพัฒนาสินค้าทาวน์เฮาส์ให้มีจุดเด่นตรงตามความต้องการของตลาด และนำเทคโนโลยีการก่อสร้างมาใช้จนเป็นผู้นำในการปฎิวัติอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่อยู่อาศัยด้วยพรีคาสท์ ตลอดระยะเวลา 28 ปี พฤกษาเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ส่งมอบบ้านคนไทยสูงสุดถึงมากกว่า 245,000 หลังคาเรือน หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านบาท ปัจจุบันขยายกลุ่มลูกค้าไปทุกกลุ่ม และนำเสนอที่อยู่อาศัยที่หลากหลายทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโด ในทุกระดับราคาและเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือ

สำหรับในก้าวต่อไป พฤกษาจะนำความเชี่ยวชาญจากธุรกิจสุขภาพ ที่กำลังจะเปิดตัวของโรงพยาบาลวิมุต มาผนวกในการยกระดับการอยู่อาศัยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การอยู่อาศัย แต่ยังรวมไปถึงการใส่ใจดูแลด้านสุขภาพด้วย โดยจะยังคงยึดมั่นวิสัยทัศน์และพันธกิจภายใต้แนวคิด “ใส่ใจ…เพื่อทั้งชีวิต” เพราะอยากให้ทุกคนมี “บ้าน” ที่อยู่แล้วมีความสุข และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่ทุ่มเท ใส่ใจในทุกขั้นตอน และเป็นผู้นำในการคิดค้นนวัตกรรมการใช้ชีวิต ตลอดเวลา เพื่อการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ และพรุ่งนี้ เป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพความสุขที่แท้จริงของการใช้ชีวิตคนไทยทุกคน พร้อมสร้างโอกาสที่ดีให้กับสังคมและชุมชน ใส่ใจดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

#โรงพยาบาล #วิมุต #พฤกษา

ปตท.ทุ่ม1,810ล.ชนะประมูลซื้อศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ “การบินไทย”

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า ตามที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัท ดำเนินการขายทรัพย์สิน ได้แก่ ศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ ซึ่งประกอบด้วย ที่ดิน พร้อมอาคารและสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่รวมสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดินและอาคาร และสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ในลักษณะและสภาพปัจจุบัน (as is-where is) กล่าวคือ ผู้เสนอราคาจะต้องไม่เรียกร้องให้บริษัทฯ ก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างใดบนที่ดิน ทั้งนี้ อาคารศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ ตั้งอยู่ที่เลขที่ 425 ตำบลตลาดบางเขน (ดอนเมือง) อำเภอบางเขน จังหวัดกรุงเทพมหานคร รวมเนื้อที่ทั้งหมด 19 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา

บริษัทฯ ดำเนินการขายโดยวิธียื่นซองเสนอราคา และให้ผู้สนใจเข้ายื่นซองเสนอราคาเมื่อวันที่ 1 เม.ย.64 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ยื่นซองเสนอราคาหลายราย และบริษัทฯ ได้ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกผ่านกระบวนการที่กำหนดไว้ใน TOR มีคณะกรรมการกำกับดูแลการขาย และผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน อย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาก่อน จากนั้น จึงเปิดซองเสนอราคาของผู้เสนอราคาทุกรายที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเท่านั้น เพื่อแจ้งเฉพาะราคาเสนอซื้อสูงสูดให้ทุกรายทราบ และสงวนสิทธิที่จะไม่เปิดเผยรายชื่อของผู้เสนอราคา

ต่อมา บริษัทฯ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เสนอราคาพิจารณาปรับราคาเสนอซื้ออีกครั้ง แล้วกลับมายื่นเสนอราคาเป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่ 9 เม.ย.64 และเจรจาราคาเสนอซื้อกับผู้เสนอราคาทุกราย และเมื่อผู้เสนอราคาทุกรายยืนยันราคาเสนอซื้อเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว บริษัทฯ จึงได้เจรจาราคาเสนอซื้อและเงื่อนไขอื่นๆ กับผู้เสนอราคาซื้อสูงสุดเท่านั้น

ทั้งนี้ ผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด ในราคาการประมูล 1,810 ล้านบาท โดยผู้ได้รับการคัดเลือกจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขาย พร้อมวางเงินมัดจำ 10% ของราคาที่ตกลงซื้อขาย ภายใน 15 วัน นับถัดจากวันที่บริษัทฯ ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกผู้ซื้อ และผู้ซื้อจะต้องชำระเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดก่อนหรือในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ และต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในที่ดินและศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ รวมถึงภาษี หัก ณ ที่จ่าย ภาษีธุรกิจเฉพาะค่าอากร และค่าธรรมเนียม หรือภาระอื่นๆ ด้วย (หากมี)

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ มีบริษัทขนาดใหญ่ และตัวบุคคลนับรวมถึง 52 ราย เช่น กลุ่มปตท. กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่ม MBK บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (BAFS) และสายการบินต่างประเทศ สนใจเข้าร่วมประมูลและรับฟังการชี้แจงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย.64 ที่ผ่านมา ก่อนกำหนดยื่นเสนอราคาครั้งสุดท้าย 9 เม.ย.64 และประกาศผลการคัดเลือกวันที่ 16 เม.ย.64 ซึ่งล่าสุด ปตท.เป็นผู้ชนะการประมูลไป

สำหรับอาคารศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ เป็นทรัพย์สินรายการหนึ่งที่ได้ขายตามคำสั่งอนุญาตของศาลล้มละลายในคดีฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ซึ่งเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจการบิน เพื่อสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ต่อไปในอนาคต

บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด เป็นโครงการที่ บริษัท บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ถือหุ้นร่วมลงทุนกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ฝ่ายละ 50%

#ปตท.#การบินไทย #ศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่#รถไฟฟ้าสายสีแดง

เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัว EV Solution Platform รุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้บริการครบวงจร

บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด รุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า บูรณาการบริการด้านต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เอื้อประโยชน์ต่อผู้ใช้งานกลุ่มองค์กรในทุกประเภท เปิดตัว EV Solution Platform โซลูชันเพื่อธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร

นายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ในปัจจุบันทั่วโลกต่างตระหนักถึงปัญหาจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน ที่มีส่วนเกิดจากการปล่อยมลพิษจากยานยนต์สู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ผู้ประกอบการต่างสนใจเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า แต่ยังมีความกังวลเรื่องความคุ้มค่า เหมาะสมกับการใช้งาน รวมถึงการดูแลรักษาหลังการขาย ทางบริษัทฯ จึงพร้อมตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึกในกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็น Ecosystem ของยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ด้วยแนวคิด “Smart Clean Mobility”

โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ครอบคลุมตั้งแต่ 1.การคัดสรรผู้ผลิต (Suppliers) ยานยนต์ไฟฟ้าโดยเน้นที่คุณภาพและความปลอดภัยของแบตเตอรี่

2.บริการจัดหา (Sourcing) อุปกรณ์ Charger ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System : ESS) และสรรหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับพลังงานทางเลือก เช่น Solar roof อีกทั้งสรรหาเทคโนโลยีในการนำแบตเตอรี่ที่ครบอายุการใช้งานมาแปรสภาพให้เป็นระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงจัดหาพนักงานขับรถ

3.การจัดเตรียมศูนย์กระจายชิ้นส่วนอะไหล่ (Spare Part) ของยานยนต์ไฟฟ้า

4.การประกอบรถยนต์ (Assembly) ได้แก่ การนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่จากมาจากต่างประเทศ เพื่อประกอบรวมกับชิ้นส่วนอะไหล่ภายในประเทศ หรือการแปลงสภาพจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

5.การซ่อมบำรุง (Maintenance) ด้วยเครือข่ายทั้งที่เป็นรูปแบบศูนย์บริการ (Service Center) และทีมบริการเคลื่อนที่ (Mobile Service)

6.Internet of Vehicle การพัฒนาระบบ IoT ในรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์ด้านการบำรุงรักษายานยนต์ไฟฟ้า ความสามารถในการติดตามสถานะการทำงานของยานยนต์ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานของรถให้มากยิ่งขึ้น

7.สถานีชาร์จ (Charging Station) ด้วยการสร้างเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station Network) เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการ

และ 8.การเงิน (Finance) นำเสนอรูปแบบทางการเงินที่หลากหลาย (Financial Package) ทั้งรูปแบบสัญญาเช่าซื้อ (leasing) และอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า”

ปัจจุบัน เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล มีบริการจัดหายานยนต์พลังงานไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle) สำหรับลูกค้าธุรกิจและองค์กร เช่น รถยก (EV Forklift) รถบรรทุก (EV Truck and EV Trailer) รถบัส (EV Bus), รถตู้ขนาดเล็ก (EV mini-Van) และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (EV Passenger Car) ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมและการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับแนวคิด ESG

บัตรเครดิตทีเอ็มบีและธนชาต ให้ช้อปกับโฮมโปรทุกสาขาได้อย่างคุ้มค่า รับ E-coupon ส่วนลด 200 บาท ทุกวันศุกร์!

สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตทีเอ็มบีและบัตรเครดิตธนชาต ให้ลูกค้ากดรับส่วนลด E-coupon มูลค่า 200 บาท ทุกวันศุกร์ ผ่าน LINE : @HOMEPRO เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อมียอดใช้จ่ายชำระเต็มจำนวนขั้นต่ำ 10,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป ที่โฮมโปรทุกสาขา (ยกเว้นช่องทางออนไลน์) โดยคูปองสามารถใช้ได้ในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ สามารถกดรับคูปองได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2564

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Contact Center โทร.1558 สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตทีเอ็มบี หรือโทร. 1770 สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตธนชาต

อสังหาฯหวังรัฐบาลเปิดประเทศ 1 ก.ค.ตามแผน คาดยอดเปิดโครงการใหม่ปี 64 ลดลงต่อเนื่อง

โควิดระบาดระลอก 3 ลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง จับตา แผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว 1 ก.ค.64 นำร่องจังหวัดภูเก็ต ได้หรือไม่

นายอิสระ บุญยัง นายกกิติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า การมาของโควิด-19 ในระลอกที่ 3 ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวออกไปเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพราะในครั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อมีมากกว่าครั้งที่ 1และครังที่ 2 ค่อนข้างมาก โดยเกือบทุกโรงพยาบาลรับผู้ป่วยจนเต็ม ซึ่งจะเห็นได้จากบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จากปริมาณผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในหลักร้อย จาก 2 ครั้งแรก เพิ่มขึ้นมาเป็นหลักพันในระลอกที่ 3

“สถานการณ์ดังกล่าว อาจทำให้รัฐต้องมีความเข้มงวดในการควบคุมโรคและการติดต่อของเชื้อในพื้นที่ต่างๆ ขณะเดียวกัน มาตรการที่ออกมา ก็ต้องคำนึงว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้างด้วย“

ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะมีการล็อกดาวน์หรือไม่ก็ตาม ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ แทบทุกราย ต้องมีการพิจารณาแผนการลงทุนโครงการใหม่ในปีนี้อีกรอบ ซึ่งส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ออกไป และเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับคลัสเตอร์สมุทรสาคร และคลัสเตอร์ทองหล่อ

“รูปแบบการรับมือของผู้ประกอบการอสังหาฯ นับจากนี้ไป คงหนีไม่พ้นการจัดแคมเปญหรือโปรโมชันต่างๆ เพื่อระบายซัปพลายในมือของตนเองเปลี่ยนเป็นสภาพคล่องหรือกระแสเงินสดให้ได้มากที่สุด ให้น้ำหนักกับการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์ เช่นเดียวกับช่วงการระบาดของโควิด-19 ช่วง 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์ในครั้งนี้ จะมีความชัดเจนมากกว่าช่วงที่ผ่านมา”

ส่วนการปรับตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ในไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องลำบาก เนื่องจากการตรวจงานผ่านระบบออนไลน์เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก จำเป็นที่วิศวกร หรือช่างจะต้องลงพื้นที่ตรวจงานด้วยตนเอง

“อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยหรือเลือกซื้อบ้านสักหลังนั้น โดยความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ซื้อแล้ว ต้องการที่จะลงพื้นที่หรือเข้าไปเยี่ยมชมโครงการจริงมากกว่าการซื้อผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ดังนั้น การเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการเพื่อเลือกซื้อที่อยู่อาศัยด้วยตนเอง จึงยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับลูกค้า แม้ว่าจะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ตาม”

นายอิสระ กล่าวว่า สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 3 นี้ อาจส่งผลกระทบต่อกำหนดการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะเดินทางเข้ามาล็อตแรก โดยกำหนดให้พื้นที่ภูเก็ต เป็นพื้นที่นำร่องแรกที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ จะรุนแรงและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภูเก็ตหรือไม่ นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนให้ประชากรในจังหวัดภูเก็ต ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 70% ของประชากร ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเปิดรับนักท่องเที่ยวตามกำหนดเดิม

ทั้งนี้ คาดว่าในส่วนของรายละเอียดของเรื่องดังกล่าว ภาคการท่องเที่ยวน่าจะมีการกำหนดรายละเอียดและแผนการรองรับการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวไว้แล้วระดับหนึ่ง ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงอาจมีการปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มเติมความเข้มข้นในการติดตามดูแลนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา เช่น การติดตามไทม์ไลน์ของนักท่องเที่ยวในระหว่างที่เข้ามาช่วงแรก ซึ่งเชื่อว่ารัฐจะพยายามผลักดันให้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ตามกำหนดเดิม เพื่อให้เป็นโปรเจกต์นำร่องในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ที่เริ่มดำเนินการในรูปแบบเดียวกันนี้แล้ว

#เปิดประเทศ #โควิด #เปิดโครงการจัดสรร #ภูเก็ต

ศูนย์ข้อมูลฯปรับมุมมองอสังหาฯทั้งปี 64 โควิดฉุด’หน่วยและมูลค่า’ยอดโอนฯติดลบมากขึ้น

จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละวันมีผู้ติดเชื้อไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ซึ่งรัฐบาลต้องเพิ่มมาตรการเข้มข้นในการป้องกันและสกัดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยล่าสุด รัฐบาลมีมาตรการดูแลและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ออกมานั้น

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยในประเด็นดังกล่าวว่า หากพิจารณาจากชื่อจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดง ที่มีการควบคุมสูงสุด เกือบทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น กทม.+5 จังหวัดปริมณฑล จังหวัดชลบุรี ,เชียงใหม่ ,นครราชสีมา ,ภูเก็ต ,สงขลา ,ขอนแก่น และอุดร เป็นต้น ดังนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนในช่วงครึ่งปีแรก แม้ว่าตลาดยังมีความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัย แต่กำลังซื้อของประชาชนจะลดลง และประชาชนที่พอจะมีกำลังซื้ออาจพิจารณาเลื่อนการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไป หรือ ไม่ได้รับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือ ในกรณีที่มีการจองหรือทำสัญญาซื้อขายไปแล้ว ก็อาจมีการชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการ จะต้องทำการกระตุ้นการขาย เพื่อให้เกิดยอดขายล่วงหน้า (Backlogs) ใหม่ๆ และกระตุ้นการโอนกรรมสิทธิ์เพื่อสร้างรายได้และสภาพคล่องให้กับบริษัทผู้ประกอบการ

สำหรับมาตรการรัฐ ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง (เหลือรายการ 0.01%) ในครึ่งปีแรก อาจจะยังเห็นผลน้อย แต่คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในไตรมาส 4 ปี 2564 (เป็นช่วงสิ้นสุดมาตรการ) ทั้งนี้ คาดว่า ผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยอาจรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2564 แล้วจึงตัดสินใจในไตรมาส 3 ปี 2564

แนวโน้มทั้งปี ‘หน่วยและมูลค่า’โอนฯติดลบมากขึ้น

ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการประมาณการตัวเลขหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ในครึ่งปีแรก ปี2564 น่าจะมีการลดลงจากปี 2563 -2.0% และ 4.5% ตามลำดับ ในกรณีฐาน (Base Case) แต่ คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรก 2564 อาจจะมีโอกาสติดลบมากขึ้นได้ถึง 5.1% และ 7.5% ได้

แต่หาก ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ดี พร้อมกับมีการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรในสัดส่วนมากขึ้น ก็น่าจะทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปตามที่ศูนย์ข้อมูลฯเคยทำการคาดการณ์ไว้ ที่หน่วยและมูลค่า ภาพรวมปี 2564 น่าจะลดลงจากปี 2563 -1.5% และ 5.6% ตามลำดับ ในกรณีฐาน (Base Case) แต่ อาจจะมี โอกาสติดลบมากขึ้นได้ถึง 2.9% และ 7.0% ตามลำดับ หากครึ่งปีหลังสถาการณ์ฟื้นตัวช้า

รอเปิดปท.เต็มที่ เพิ่มสิทธิ์ต่างชาติซื้อห้องชุดเกิน 49% ยังทัน!

กรณีของตลาดลูกค้าต่างชาติในกลุ่มตลาดคอนโดฯ ที่ผ่านมา มียอดโอนกรรมสิทธิ์เพียงประมาณ 10-15% เท่านั้น แต่หากรัฐบาลมีการขยายโควตาซื้อห้องชุดปัจจุบันต่างชาติซื้อได้มากกว่า 49% ซึ่งทราบจากข่าวต่างๆ ว่าอาจมีข้อเสนอให้เพิ่มขึ้นเป็น 70-80% นั้น ก็อาจมีผลต่อการกระตุ้นความสนใจให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดฯในประเทศเรา แต่ในภาวะที่ประเทศไทยยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศก็ยังไม่ค่อยมีการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้ความสนใจในการซื้อในช่วงปี 2564 อาจยังไม่เกิดขึ้นเร็วนัก แต่เป็นการดีที่เราส่งสัญญาณว่า เราต้อนรับชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย

#โควิด #เปิดประเทศ #อสังหาฯ #ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

ธอส.เปิดตัว GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน บริการใหม่บน Application : Line แจ้งทันทีทุกๆ ธุรกรรม

ธอส.เปิดตัว “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” บริการใหม่บน Application : Line ไลน์แจ้งทันทีทุกความเคลื่อนไหวที่มีการฝาก ถอน โอน ชำระเงินกู้ และถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. เป็นต้น รวมถึงเช็คข้อมูลสำคัญ อาทิ สถานะการขอสินเชื่อ ยอดเงินกู้คงเหลือ ยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝาก เช็คจำนวนหน่วย/มูลค่า/จำนวนเงินที่ถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. ตรวจรางวัลสลากออมทรัพย์งวดล่าสุด บริการฟรี!! โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวช่วยสนับสนุนให้เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางใหม่ในการให้บริการลูกค้าผ่านทางดิจิทัล ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยในยุดิจิทัลและเป็นไปตามวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ล่าสุด ธอส. จึงได้เปิดตัวบริการใหม่บน Application : Line โดยใช้ชื่อว่า “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” ซึ่งใน Phase 1 ที่จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564 เป็นต้นไป GHB Buddy จะทำหน้าที่ไลน์แจ้งลูกค้าทันทีในทุกครั้งที่มีความเคลื่อนไหว ดังนี้

1.ฝากเงิน
2.ถอนเงิน
3.โอนเงิน
4.ชำระเงินกู้
5.ชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย
6.ถูกรางวัลสลากออมทรัพย์
7.ผลการขอสินเชื่อ
และ 8.แจ้งยอดชำระเงินกู้ล่วงหน้า

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเช็คข้อมูลสำคัญ อาทิ สถานะการขอสินเชื่อ ยอดเงินกู้คงเหลือ ยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝาก จำนวนหน่วย/มูลค่า/จำนวนเงินรวมที่ถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. และตรวจรางวัลสลากออมทรัพย์งวดล่าสุด รวมถึงเชื่อมไปยังระบบข้อมูลด้านสินเชื่อ เงินฝาก และยังจะได้รับคะแนนสะสมในโครงการ GHB Reward ทันที 50 คะแนน เมื่อลงทะเบียนเข้าใช้งาน GHB Buddy ครั้งแรก และบัญชียังมีความเคลื่อนไหว เพื่อแลกรับของรางวัลได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นบริการใหม่ที่ธนาคารอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้นฟรี!! โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมมีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เนื่องจาก GHB Buddy แจ้งไปยัง Application : Line ในโทรศัพท์ของลูกค้าโดยตรง ซึ่งถือเป็นบริการที่สนับสนุนให้เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อีกด้วย

“GHB Buddy เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญตามแผนยุทธศาสตร์ธนาคารเช่นเดียวกับโครงการ GH Bank New Normal Services ซึ่ง ธอส. ได้พัฒนาบริการใหม่ ๆ บน Application : GHB ALL อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการยกระดับสู่การเป็น Digital Service Bank ในปี 2564 และก้าวเป็น Digital Bank เต็มรูปแบบในปี 2566 และภายในเดือนมิถุนายนนี้ GHB Buddy จะมีบริการใหม่ ๆ ใน Phase 2 เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มเติม อาทิ การขอรายการเดินบัญชี (e-Statement) การชำระเงินกู้ด้วย QR Code การค้นหาสาขา และจองคิวเข้าใช้บริการ เป็นต้น”นายฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ต้องการใช้งาน “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” เพื่อไม่ให้พลาดบริการดี ๆ ที่ GHB Buddy จะแจ้งทาง Line สามารถสมัครใช้บริการได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา เพียงเข้าไปที่ Application : Line จากนั้นไปที่เพิ่มเพื่อนแล้วกดค้นหาเพื่อนโดยพิมพ์คำว่า “@ghbbuddy” หรือ เพิ่มเพื่อนด้วยการสแกน QR Code สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ http://www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL